คริส วอนโดลอฟสกี้ เกิดวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1983 ณ เมือง แดนวิลล์ แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวสหรัฐอเมริกาที่ค้าแข้งกับสโมสร ซานโฮเซ่เอิร์ธเควกส์ ในเมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ และทีมชาติ สหรัฐอเมริกา โดยเล่นตำแหน่งกองหน้า

วอนโดลอฟสกี้ เคยเล่นให้กับ ไฮสคูลซ็อคเกอร์ ที่ เดอลาซาลไฮสคูล ในเมืองคอนคอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งจากการที่เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปี 2000 และปี 2001 ทำให้เขาได้รับรางวัล “ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี” ในปี 2011 โดยสื่อท้องถิ่น

หลังจบ ไฮสคูล เขาย้ายไปเล่นให้กับ ชิคาโก้ สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ และเขาสามารถยิงไปได้ถึง 39 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 84 เกม และพา “ชิโก้ รู้คส์” ขึ้นสู่ลีกสูงสุด ในปี 2004 ด้วยผลงานซัดคนเดียว 17 ประตูวอนโดลอฟสกี้ ถูกจัดอันดับเป็นเบอร์ที่ 41 ในการ ดราฟท์ของปี 2005 และเป็นทางด้านของ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควกส์ ที่คว้าตัวเขาไปร่วมทีม แม้ว่า วอนโดลอฟสกี้ จะลงสนามช่วยทีมในศึก เมเจอร์ ลีก ซ็อคเกอร์ เพียงแค่สองนัดเท่านั้น แต่เขาสามารถช่วยยิงให้ทีมสำรองได้ถึง 8 ประตูจาก 12 นัด

เขาย้ายไปร่วมทีม ฮุสตัน ไดนาโม ในฤดูกาล 2006 และลงสนามให้กับทีมสำรอง 11 นัด ยิงประตูได้ถึง 13 ลูกเลยทีเดียว หลังจากนั้นเขาสามารถทำประตูแรกในลีกสูงสุดได้สำเร็จในเกมที่พบกับ ชิคาโก้ ไฟเออร์ ฤดูกาล 2007 วอนโดลอฟสกี้ เปิดสกอร์ในเกม คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ คัพ รอบรองชนะเลิศพบกับ ปาชูก้า แม้ว่า ฮุสตัน จะต้องตกรอบจากการพ่ายในเลกสองก็ตาม หลังจากนั้นเขาสามารถยิงประตูแรกในรายการ ยูเอส โอเพ่น คัพ ในเกมที่เอาชนะ เอฟซี ดัลลัส 3-0 ในปีเดียวกัน

ปี 2008 เขายังคงลงสนามอย่างต่อเนื่องให้กับทีมสำรองสลับกับเกมรายการอื่น ๆ ซึ่งเขาได้รับการไว้วางใจให้เป็นกัปตันทีมในเกมที่พ่ายให้กับ ชาร์เลสตัน แบทเตอรี่ ในศึก ยูเอส โอเพ่น คัพเขายิงประตูที่ 4 ให้กับตัวเองในสโมสร จากเกมที่พบกับ นิวยอร์ค เร้ด บูลล์ส ซึ่งเป็นประตูที่ 7000 ของประวัติศาสตร์เมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ อีกด้วย

ตำนานผู้สร้างประวัติศาสตร์ คริส วอนโดลอฟสกี้

วอนโดลอฟสกี้ถูกส่งไปให้กับสโมสร ซานโฮเซ่เอิร์ธเควกส์ ด้วยสัญญาสลับตัวกับ แคมวีเวอร์ ซึ่งการย้ายตัวครั้งนี้เขาได้รับการลงสนามมากขึ้นและลงเล่นทั้งหมด 14เกม ยิงไปทั้งสิ้น 3ประตูให้กับทีมเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดในฤดูกาล 2010 ด้วยการยิง 18ลูก  จาก 26เกม ในเมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ และพาซานโฮเซ่เอิร์ธเควกส์เข้าสู่รอบเพลย์-อ็อฟ ซึ่ง 18ลูก ที่ทำได้ทำให้เขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกและได้รับรางวัลรองเท้าทองคำในที่สุด นอกจากนี้เขายังเป็นคนซัดประตูชัยในเกมเพลย์-อ็อฟ เอาชนะ นิวยอร์ค 3-2 และซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควกส์ ได้ตบรางวัลให้เขาด้วยการขยายสัญญา วอนโดลอฟสกี้ ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักเตะ เมเจอร์ ลีก ซ็อคเกอร์ ออล-สตาร์ 2012 พบกับทีมเชลซี ซึ่งในเกมนั้นเขาได้ถูกประกบโดย จอห์นเทอร์รี่ ก่อนที่จะสามารถทำประตูได้ในนาทีที่ 21

ต่อมาเขาได้กลายเป็นตำนานผู้สร้างประวัติศาสตร์ยิงประตูสูงสุดตลอดกาล โดยเป็นการทำแฮตทริกที่สี่ในฤดูกาลและทาบสถิติของ รอยลาสซิเตอร์ ที่เคยทำไว้ 27 ลูกในฤดูกาลเดียว ซึ่งบทสรุปซีซั่นนั้นทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนเดียวของ เมเจอร์ ลีก ซ็อคเกอร์ ที่ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนถึง 4 ครั้งในซีซั่นเดียว

2014 วอนโดลอฟสกี้กลายเป็นนักเตะรายที่สามในศึก เมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ ที่สามารถยิงประตูได้อย่างน้อยถึงเลขสองหลักในฤดูกาลเดียว ติดต่อกัน 5 ซีซั่น ด้วยการยิง 14 ประตูตลอดฤดูกาล 2014

2015 วอนโดลอฟสกี้ได้ยิงจุดโทษตีเสมอให้กับทีมและเป็นประตูที่ 100 ของเขาในศึก เมเจอร์ ลีก ซ็อคเกอร์ อีกด้วย และทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนที่ 9 ในประวัติศาสตร์ของลีกที่สามารถทำได้

เส้นทางในการรับใช้ทีมชาติของ วอนโดลอฟสกี้หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จกับ ซานโฮเซ่

เอิร์ธเควกส์ ในฤดูกาล 2010 และคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ ทำให้เขาถูกเรียกตัวมารับใช้ทีมชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้เวลาเก็บตัวในแคมป์ซ้อมกว่า 3 สัปดาห์ เขาก็ได้รับโอกาสลงสนามเป็นครั้งแรกในเกมกระชับมิตรกับทีมชาติ ชิลี

2013 คริส วอนโดลอฟสกี้ สามารถซัดประตูแรกให้กับทีมชาติในเกมที่พบกับ กัวเตมาลา ที่สนามควอลคอมม์สเตเดี้ยม ในเมืองซานดิเอโก้ รัฐแคลิฟอร์เนีย และให้อีก 4 วันต่อมาเขาก็สามารถซัดแฮตทริกในครึ่งแรกจากเกมที่พบกับ เบลิซ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงของทีมชาติสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา

วอนโดลอฟสกี้ ถูกเรียกไปติดทีมชาติอีกครั้งเป็นหนึ่งใน 23 นักเตะที่ถูกเลือกไปลุยศึก ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายที่ประเทศบราซิล เขาถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรอง ในนาทีที่ 87 ในเกมที่พบกับ โปรตุเกส รอบแบ่งกลุุ่มๆจี น่าเสียดายที่ทัวร์นาเม้นท์นี้เขาไม่สามารถจบสกอร์ได้เลย