เสกสรร รักถนอม : นักเตะแขนเดียวที่อยากเล่นบอลอาชีพ
อั๋น - เสกสรร รักถนอม เด็กหนุ่มชาวจังหวัดชัยนาท วัยเพียง 18 ปี เป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อในเรื่องความฝัน
เสกสรร รักถนอม ลืมตาดูโลกพร้อมกับร่างกายที่ครบถ้วน 32 ประการ เขาเติบโตมา ในครอบครัวที่มี คุณพ่อทำงานอาชีพรับเหมาก่อสร้าง กระทั่ง “อั๋น” อายุได้ประมาณ 2 ขวบ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวัยไม่รู้เดียงสา ก็ได้เปลี่ยนชีวิตของ เสกสรร ไปตลอดกาล
“วันนั้นผมตามบิดาไปตรงที่เขาทำก่อสร้าง ในตอนนั้นผมคงจะเดินตามหาแม่ ก็ไม่รู้จักว่าแม่อยู่ที่ไหน ก็เลยปีนป่ายตรงเครื่องบดปูนเพื่อขึ้นไปดูด้านบน” เสกสรร กล่าวเริ่ม
“แม้กระนั้นผมพลาด ตอนแขนหลุดเข้าไปในเครื่อง โดนเฟืองบด ทุกคนก็ตกอกตกใจหมด ตั้งแต่นั้น ผมก็จะต้องดำรงชีวิต ทำทุกๆอย่างด้วยแขนฝ่ายเดียวมาตลอด”
แขนข้างซ้ายของเด็กน้อยอย่าง เสกสรร แหลกละเอียดเกินกว่าจะกลับมาใช้งานได้ แล้วก็เขาจำเป็นต้องสูญเสียแขนข้างนี้ไปเกือบจะถึงหัวไหล่
แม้กระนั้นเขากลับมิได้มีความคิดว่า ความพิกลพิการ ทำให้เขาดำรงชีวิตลำบากเหลือเกิน เนื่องจาก เสกสรร เคยชินกับแนวทางการทำอะไรมาด้วยแขนด้านเดียวตั้งแต่เริ่มจำความได้ ทั้งยังครอบครัวยังอุปการะเขาเสมือนเด็กที่ร่างกายธรรมดา จนกระทั่งเมื่อไปสู่ตอนวัยศึกษา
“ผมเรียนกับเด็กธรรมดาที่สถานที่เรียนวัดวังเคียน ตอนแรกๆก็ถูกเพื่อนฝูงล้อ เรื่องความพิกลพิการ ทำให้ผมรู้สึกกลัวที่จะเข้าสังคม ไม่กล้าคุยกับคนไหน ปราศจากความมั่นใจในตัวเอง ถูกใจเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เฉยๆผมก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงราวกับอย่างเด็กผู้อื่น”
“จนถึงมีรุ่นพี่คนหนึ่ง มาเชิญชวนให้ผมทดลองเล่นบอล ผมก็รู้สึกถูกใจบอล รวมทั้งเตะบอลมาตลอดตั้งแต่นั้น คิดออกว่า เวลาอยู่ในชั้นเรียน ผมจะถูกใจมองดูไปที่สนาม หัวใจต้องการเตะบอลสิ่งเดียว พอเพียงถึงเวลาเลิกเรียนก็จะรีบขี่จักรยาน (โดยใช้มือด้านเดียว) เพื่อไปจองสนามเตะบอล”
บอล เปรียบได้เสมือนดั่งประตูที่เชื่อมต่อ เสกสรร รักถนอม กับเด็กธรรมดา จากเด็กที่ไม่ค่อยมีสหาย รวมทั้งกลัวที่จะเข้าสังคม เพราะว่ามีความคิดว่าตนเองมีจุดบกพร่องด้านร่างกาย เขาเริ่มมีความเชื่อมั่น กล้าที่ออกไปพบผู้คนรวมทั้งบอลยังส่งผลให้เขามี เพื่อนเกลอ แล้วก็คนรู้จักกันเยอะขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าจะไม่มีแขนหนึ่งข้าง แต่ว่าโน่นก็ไม่ใช่ปัญหา ในการเล่นบอลของ เสกสรร เขาสามารถเคลื่อนได้เสมือนเด็กๆคนอื่นๆในสนาม จนได้เป็นนักเตะผู้แทนสถานศึกษาชุมชนวัดวังเคียน ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ
และก็จากจุดเริ่มแรกความสนุกสนานสำหรับเพื่อการเล่นกีฬาบอล ก็นำพาเขาไปรู้จักกีฬาอื่นๆตามมา กระทั่งทำให้เขาเปลี่ยนเป็นเด็กผู้ชายหวานใจการเล่นกีฬาเข้าเส้น
“ผมเล่นกีฬาได้ดูเหมือนจะทุกจำพวก ตะกร้อ ฟุตซอล วิ่ง วอลเลย์บอล อื่นๆอีกมากมาย ถ้าเกิดถามคำถามว่ากีฬาไหนยากที่สุด ? (ใช้เวลาคิด) ผมว่า ‘ไม่มีเลยนะ’ เนื่องจากว่าผมเป็นผู้ที่ถูกใจเล่นกีฬามากมาย”
“หากกีฬาไหน ผมยังเล่นมิได้ ผมจะบากบั่นกระทั่งจะเล่นกีฬานั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น วอลเลย์บอล ถึงผมจะมีเพียงแค่แขนเดียว แม้กระนั้นผมก็ฝึกซ้อม กระทั่งสามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา”
ในตอนมัธยมฯ เสกสรร ยังคงบันเทิงใจกับการได้พบเห็นผู้คน รวมทั้งเล่นกีฬาทุกหมวดหมู่ โดยมากเขามักใช้เวลาตอนพักตอนกลางวันไปการเตะตะกร้อ ก่อนต่อด้วยการออกไปเตะบอลกับคนแก่ในหมู่บ้าน ช่วงเวลาเย็น อยู่เป็นประจำ
แต่ว่ากีฬาที่ “อั๋น” สามารถทำเป็นดีเป็นพิเศษ อาจหนีไม่พ้น วิ่ง กับ บอล โดยกีฬาแรก เขาเป็นลมกรดผู้ครอบครองเหรียญทอง วิ่ง 200 เมตร กีฬาผู้เรียนคนไม่สมประกอบแห่งชาติ
ส่วนกีฬาลูกหนังเขาก็ทำเป็นดีเหมือนกัน จนได้เป็นผู้แทนนักบอลสถานศึกษา ไปแข่งขันกีฬาผู้เรียน นิสิตแห่งชาติ แม้ว่าจะย้ายโรงเรียนตอนมัธยมฯ ช่วงท้าย มาอยู่ในสถานศึกษาที่ใหญ่ขึ้น ระดับโรงเรียนกินนอนอำเภอ
“ตอน ม.ปลาย ผมมาศึกษาต่อที่ หันค้างพิทยาคม ตรงนี้มีห้องให้เลือก ผมเลือกอยู่ห้องกีฬา มีเด็กโดยประมาณ 30 กว่าคน เนื่องจากว่า ผมไม่มีเพื่อนพ้องตามมาจากสถานศึกษาเก่า วันแรกๆที่มาเรียน สหายๆในห้อง ก็รู้สึกแปลกใจที่แขนผมเป็นแบบงี้ ส่วนคุณครู ท่านเป็นห่วงกลัวว่าผมจะไม่สามารถที่จะเล่นกีฬา ก็ฝากให้เพื่อนพ้องดูแล”
“แต่ว่าผมเป็นผู้ที่มักจะทำด้วยตัวเอง ก็อุตสาหะทำให้สหายมองเห็นในสนามว่า ผมก็สามารถเล่นกีฬาได้ เพียงพอเพื่อนฝูงๆแล้วก็อาจารย์มีความคิดเห็นว่า ผมเล่นได้ เขาก็มิได้กังวลใจอะไรแล้ว จนถึงอาจารย์เรียกไปติดกลุ่มสถานศึกษา ครั้งคราววันหยุด ผมยังไปเตะเดินบอลสายเล่นตามหมู่บ้านต่างๆเลย”
“ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้มาเล่นบอล เป็นผู้แทนกลุ่มชาติไทย” ดาวเตะแขนเดียว เริ่มย้อนถึงระยะเวลาหนึงที่น่าประทับใจในชีวิตเขา
“ผมได้รับการชักจูงจากคุณครูท่านหนึ่ง ซึ่งท่านดูแลกลุ่มบอลคนพิเศษ ให้เข้ามาคัดเลือกตัวที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ทำให้ผมได้ได้โอกาสเล่นให้กลุ่มชาติ สำหรับเพื่อการแข่งสเปเชียล โอลิมปิก ระดับภูมิภาค ในปี 2016 (จัดที่ เขมร), 2018 (จัดที่ มาเลเซีย)”
“ถึงจะเป็นกลุ่มบอลคนพิเศษ แม้กระนั้นผมดีแล้วหัวใจที่คราวหนึ่งได้ได้โอกาสลงเล่นให้กลุ่มชาติ แล้วก็ช่วยกลุ่มคว้า 1 เหรียญทอง 1 ทองแดง อย่างละครั้ง”
เสกสรร ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของกลุ่มบอลคนพิเศษ โดยเขาได้รับมอบหมายให้สวมปลอกที่เอาไว้ใส่แขนกัปตันกลุ่มนำกองทัพนักฟุตบอลด้วยตัวเอง ซึ่งประสบการณ์ในคราวนั้น ได้เพิ่มไฟ ให้เขาต้องการเดินตามความฝันของตนเอง สำหรับการเป็น นักเตะอาชีพของ สมาพันธ์จังหวัดชัยนาท ฮอร์นใบเสร็จรับเงิน ให้ได้สักหนึ่งครั้ง
“ผมติดตามกลุ่มจังหวัดชัยนาทฯ มาตั้งแต่ผมอายุยังน้อย เข้ามาเชียร์ในบ้านดูเหมือนจะทุกนัดหมาย เพียงพอเริ่มโตขึ้น ก็มีเป้าหมายต้องการลงเล่นให้กลุ่มถิ่นกำเนิด นี่เป็นจุดหมายสูงสุดของผมก็ว่าได้”
“พี่ๆนักเตะจังหวัดชัยนาท ทุกคน เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมต้องการเล่นบอลให้เก่งกว่านี้ เนื่องจากว่าผมฝันไว้ว่าวันหนึ่ง ผมต้องลงไปอยู่ในสนามให้ได้ราวกับพี่ๆเขา”
ความพิกลพิการด้านร่างกาย อาจก่อให้ บุคคลภายนอก ละเลยหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ นักกีฬาคนไม่สมประกอบ ที่กล้าออกไปตามล่าความฝัน
เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน เสกสรร ในวัย 18 ปี ตกลงใจใช้แขนด้านเดียวที่มีอยู่ หิ้วสตั๊ดเดินทางไปคัดเลือกตัวกับสมาพันธ์สมัครเล่น “จังหวัดชัยนาท สิตี้” ที่ตระเตรียมกลุ่มสำหรับฝ่าศึกไทยแลนด์ อเมเจอร์ ลีก
ภาพที่ปรากฎในโลกอินเตอร์เน็ต รวมทั้งถูกแชร์ต่อเยอะๆ เป็นภาพที่เจ้าตัวลงกระทำการทดลองฝีเท้า ร่วมกับนักเตะที่มีร่างกายธรรมดา พร้อมด้วยแคปชั่นที่สมาพันธ์นำเสนอว่า “ปัญหาของร่างกาย... บางเวลามันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีข้อจำกัดสำหรับบุคคลที่ติดอกติดใจแล้วก็หลงใหลในกีฬาบอล”
แม้ก้าวแรกในทางนักเตะอาชีพของ เสกสรร รักถนอม จะสิ้นสุดลงสำหรับการคัดเลือกตัวรอบสอง แต่ว่าโน่นมิได้ให้ เขาทอดทิ้งความฝันของตนเอง
“ผมมองเห็นเพื่อนฝูงในเฟซบุ๊กแชร์ว่า สมาพันธ์จังหวัดชัยนาท สิตี้ เปิดคัดเลือกตัวนักเตะ ผมก็เลยทดลองติดต่อเพจไปถามคำถามว่า ผมสามารถคัดเลือกตัวได้ไหม เขาก็ตอบว่า ‘มาได้เลย’ ถึงแม้ผมจะคัดเลือกตัวไม่ผ่าน แต่ว่าผมก็มิได้รู้สึกท้อนะ ผมก็จะต้องกลับไปปรับปรุงข้อเสียของตน รวมทั้งกลับมาสู้ใหม่”
“ผมรู้ว่าความฝันของผม (เป็นนักเตะกลุ่มจังหวัดชัยนาท ฮอร์นใบเสร็จรับเงิน) มันไกลห่างมากมาย และก็ผมก็คงจะตอบมิได้ว่า มันจะเป็นได้ไหม แม้กระนั้นผมจะพากเพียรอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้ถึงที่สุด ดีมากยิ่งกว่ามานั่งเสียดายที่มิได้ทำ”
“เนื่องจากบอลเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมก็หวังว่า เรื่องราวของผมจะเพียงพอเป็นแรงผลักดันให้คนธรรมดา ที่มีสองแขนสองขา ได้กล้าออกไปทำในสิ่งที่เราเอง มองอย่างผม ผมมีแขนเดียว ผมยังไม่เคยมีความรู้สึกว่า ผมจะเป็นนักเตะมิได้”