นี่เป็นเรื่องราวของการแช่งจากอดีตกาลที่ปรึกษาที่ชื่อว่า เบล่า กัตต์มันน์ ชายคนท้ายที่สุดที่พา เบนฟิก้า ครอบครองแชมป์ยุโรปเมื่อ 50 กว่าปีกลาย และก็ตั้งแต่ที่เขาเอ่ยคำสาปแช่งว่า "เบนฟิก้า จะผิดหวังอีก 100 ปี" ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างก็แปรไป
ในค่ายกักขังของกองกองทัพที่นาซีเยอรมัน ภายใต้การปกครองของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทุกยามเช้านั้น ทุกๆชีวิตในที่ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วจะเริ่มขึ้นอย่างรุ่มร้อนและไม่เต็มอกเต็มใจ เหล่าตัวประกันต้องลืมตาเจอกับความหวาดสะดุ้งรวมทั้งจำเป็นจะต้องรับคำสั่งทุกกรณี
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คริสต์ศักราช1939-1945 พรรคที่นาซีสร้างค่ายกักขังมากยิ่งกว่าเดิมมาย จับชาวยิวมาขัง ใช้แรงงานสร้างโรงงานอุตสาหกรรมกับโรงงานผลิตอาวุธป้อนหน่วยเอสเอส และก็เป็นป่าช้าเผาผลาญเชื้อสายชาวยิว
ชาวยิงถูกต้อนมารวมกันเยอะที่สุดเพื่อใช้งาน รวมทั้งหลังจากนั้นก็เลยจบท้ายด้วยการเข้าห้องรมก๊าซเพื่อฆ่าหมู่ โดยในกลุ่มกองทัพทุ่งนาซีเรียกเรื่องราวดังกล่าวข้างต้นว่า "การจัดการปัญหาชาวยิวคราวสุดท้าย" หรือ "มาตรการท้ายที่สุด"
ต้นเหตุที่อยากฆ่าล้างเชื้อสายนั้นชี้แจงได้หลายแบบตามการกล่าวอ้างมากไม่น้อยเลยทีเดียว บ้างก็กล่าวว่า ฮิตเลอร์ เกลียดชังชาวยิวเพราะว่าเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างที่สุดในยุโรป นอกนั้นยังเลี้ยงชีพเป็นคนปลดปล่อยเงินกู้ยืมมาเป็นเวลายาวนาน ทำให้เป็นฝูงคนที่สังคมเกลียด ตามประสาลูกหนี้ที่ไม่พอใจกับเจ้าหนี้
นอกเหนือจากนี้ยังมีเรื่องมีราวการ "ให้ออก" เพราะว่ามั่นใจว่าชาวเยอรมัน ซึ่งสืบสกุลมาจากชาวอารยัน เป็นเชื้อชาติที่สูงส่งที่สุดในโลก รวมไปเรื่องนาซีมั่นใจว่าชาวยิวไซออนนิสต์เป็นนกสองหัว ซึ่งเมื่อไปผูกปมกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่พวกเขาเช้าใจกันว่าเยอรมันมิได้รบแพ้ด้วยเหตุว่าความสามารถแม้กระนั้นเป็นเพราะเหตุว่าโดนทรยศ ยิ่งทำให้เป็นไฟที่สุมให้พวกเขาชิงชังคนยิวเข้าไปอีก
แม้ว่าจะเน้นที่ชาวยิวเป็นหลัก แต่ว่าท้องนาซีก็ต้อนอีกทั้งชาวประเทศโปแลนด์, ออสเตรีย, ยูเครน แล้วก็ รัสเซีย รวมทั้งประเทศรอบตัวด้วย ซึ่งมีผู้คนนับล้านตายไปจากเรื่องราวสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้กระนั้น มีหนึ่งชายที่โดนจับไปสู่สถานกักกันกลับเอาชีวิตรอดมาได้ แล้วก็เปลี่ยนเป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรลุความสำเร็จ เขาเป็น เบลา กัตต์มันน์ ชาวฮังการีที่มีเชื้อสายออสเตรีย ที่สำคัญเป็นเขาเป็นคนยิว แล้วก็ยอดเยี่ยมในคนที่ผ่านแดนนรกของท้องนาซีโดยไม่เสียชีวิตมาแล้ว
เรื่องราวของ กัตต์มันน์ ถูกเล่าผ่านนักประพันธ์ชาวสวิสที่ชื่อว่า เดวิด โบลโชเวอร์ ในหนังสือ "การคัมแบ็คที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สู่ผู้ผลิตดีเอ็นเอของบอลสมัยใหม่" แล้วก็การคัมแบ็คที่ว่าถึงนั้นไม่ใช่การกลับกลับมาเอาชนะสำหรับเพื่อการแข่ง แม้กระนั้นมันเป็นการกลับชีวิตจากจุดต่ำสุดแปลงเป็นผู้ที่ปฎิวัติแวดวงบอล
"สิ่งครั้งเกี่ยวกับ กัตต์มันน์ ที่เขาเล่าให้ผมฟังมันมากกว่าหายนะ หากคุณไปพบข้อมูลในเน็ตคุณจะพบว่าเขาดำรงชีวิตอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แม้กระนั้นไม่มีผู้ใดทราบจริงๆหรอกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง" โบลโชเวอร์อุตสาหะจะกล่าวว่าในความเป็นจริงแล้วจุดกำเนิดที่ควรเล่าแม้จะเอ๋ยถึง กัตต์มันน์ เป็น ฮังการี
กัตต์มันน์ เป็นนักเตะที่เล่นให้กับนานาประการกลุ่มในฮังการีแล้วก็ออสเตรีย ซึ่งเลือดชาวยิวของเขานั้นเข้มข้นจนกระทั่งขนาดเคยย้ายไปอยู่กับ ฮาโกห์ เวียนที่นา สมาคมบอลชาวยิวในออสเตรียมาแล้ว แต่ว่าการที่ชมรมล่องเรือไปออกทัวร์ที่ประเทศอเมริกาในตอนทศวรรษ 1920’s กลับทำให้เขามีความคิดใหม่
กัตต์มันน์ ตกลงใจอยู่ต่อที่อเมริกาแล้วก็ลงเล่น "ซอคเก้อร์" ให้กับอีกทั้ง บรูคลิน วันเดอร์เรอร์ส, นิวยอร์ก ไจแอนท์ส รวมทั้งอีกหลายทีมในมหานครนิวยอร์ก แต่ว่าภาวะเศรษฐกิจลดน้อยทั้งโลก หรือ "The Great Depression" ที่เริ่มในปี 1929 ทำให้เขาตกลงใจกลับมาค้าลำแข้งในยุโรปอีกรอบ จนถึงปี 1933 เขาก็ตกลงใจห้อยสตั๊ด เดินหน้าไปสู่แวดวงผู้ฝึกสอนอย่างเต็มกำลัง
ระยะแรกของอาชีพการเป็นผู้ฝึกสอนดูเหมือนเป็นไปด้วยดีสำหรับกัตต์มันน์ เขาได้งานคุมหลายสมาพันธ์อีกทั้งในออสเตรีย, เนเธอร์แลนด์ รวมทั้ง ฮังการี ถิ่นฐานบ้านช่อง จนกระทั่งกองทัพที่นาซีบุกฮังการี รวมทั้งกระหน่ำเหลวแบบเร็วทันใจปานสายฟ้าฟาด ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็แปรไป
ไม่มีผู้ใดทันได้หนี ครอบครัวของ กัตต์มันน์ ไม่ว่าจะ บิดา, พี่ชาย, น้องสาว รวมทั้งตัวเขา โดนจับไปสู่สถานกักกันเพื่อเป็นข้าทาส ซึ่งที่หมายของการเป็นขี้ข้านั้นเป็นตายสถานที่เดียว เนื่องจากพวกขี้ข้ามีเวลาได้มองโลกไม่นานนักเมื่อได้เข้าไปอยู่ข้างหลังรั้วลวดหนาม ภายหลังจากจับคนเข้ามาเป็นข้ารับใช้ได้ ทุกวันๆก็เบาๆมีคนหายไปครั้งละนิดๆจนตราบเท่า 54 วันผ่านไป ... ชาวยิวหายไปทั้งหมดทั้งปวงมากยิ่งกว่า 430,000 คน
ตรงเวลาไม่ใช่น้อยๆที่ กัตต์มันน์ บากบั่นมองหาแนวทางรอด จนกระทั่งในที่สุดภายหลังบิดาและก็น้องสาวของเขาถูกยิงตาย กัตต์มันน์ ตกลงใจแน่แน่วว่ายังไงเสียเขาก็จะหนีจากที่ที่นั้นให้ได้ เขาเข้าไปหลับอยู่บนห้องใต้หลังคาตรงเวลามากยิ่งกว่า 3 เดือน โดยได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากพี่เขยที่ไม่ใช่ชาวยิวแอบช่วยอยู่ลับๆ
"เขาจะต้องหลบซ่อนอยู่ในปริมณฑลที่เป็นย่านชุมชนแออัดของชาวยิวโดยอยู่แต่ว่าบนห้องใต้หลังคา ภายหลังที่บิดาและก็น้องสาวของเขาถูกฆ่า เขาก็เริ่มแนวทางหนี จนกระทั่งสามารถออกมาได้" นักเขียนหนังสือเรื่องดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นชี้แจงต่อ ซึ่งภายหลังจากการหนีพ้นเขาก็ได้เริ่มอาชีพการเป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นจริงเป็นจัง และก็เพียงแค่กลุ่มแรกๆของเขาก็มีเรื่องมีราวให้จำต้องเอ๋ยถึงแล้ว
ผู้ฝึกสอนหัวรั้น เบล่า กัตต์มันน์
ข้างหลังหนีเอาชีวิตรอดจากค่ายกักขังได้เสร็จ กัตต์มันน์เดินทางไปยังประเทศโรมาเนีย เริ่มการควบคุมกลุ่มอีกทีกับกลุ่ม วาซาซ ก่อนมีกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่า Ciocanul ดึงตัวไปคุมกลุ่ม ในตอนนั้นเขามิได้มีทางเลือกอะไรเท่าไรนักในฐานะสมัยก่อนผู้เคยแอบหนีทำให้ไม่มีเงิน แถมเศรษฐกิจในยุโรปก็ไปสู่สมัยสินค้าต่างๆมีราคาแพง กัตต์มันน์ เลยสนทนากับกระดานบริหารว่าเขาจะขอรับค่าแรงงานของเขาเป็นผัก ไข่มันฝรั่งแป้งแล้วก็น้ำตาล แทนการรับเงินสด
แต่ว่าความยอดเยี่ยมที่จริงจริงของเขาก็ได้เปิดเผยร่างมาขณะนั้น เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่มีความหลักแหลมด้านการจัดการแล้วก็การควบคุมกลุ่มอย่างมากมาย คราวหนึ่งเขาจับนักฟุตบอลที่ชื่อว่า Gyula Szilagyi มาปั้นรวมทั้งทำให้แปลงเป็นยอดดาวยิงที่ยิงได้กว่า 300 ลูกใน 15 ปี การรวบรวมประสบการณ์กับกลุ่มเล็กๆช่วยทำให้กล้าบอกได้เต็มปากว่าตัวของเขาเองนั้นรู้ดีว่าสิ่งที่จำเป็นกว่าวิชาความรู้สำหรับในการคุมกลุ่ม เป็นการหาธรรมชาติของนักฟุตบอลคนนั้นๆให้พบ ยิ่งพบนักฟุตบอลที่แพ้ไม่เป็นเขาจะยิ่งถูกใจมากมาย
ผลงานการบรรลุเป้าหมายในต่างถิ่น ทำให้มีกลุ่มในฮังการีดึงตัวเขากลับสู่ถิ่นกำเนิดอีกที แม้กระนั้นก็เป็นช่วงๆเวลาสั้นๆเมื่อเขากำเนิดวิวาทกับ เฟเรนซ์ ปุสกัส ตำนานดาวยิงของฮังการี ซึ่งก่อให้เกิดการโดนแบนในฐานะไม่ไม่คดโกงต่อเมืองลัทธิคอมมิวนิสต์ รวมทั้งทำให้เขาจะต้องหนีออกไปคุมกลุ่มยังต่างแดนอีกที
การออกจากฮังการีครั้งนี้ ทำให้เขาได้คุมกลุ่ม เอซี มิลาน ในตอนปี 1953 แต่ว่าเพียงแค่ฤดูที่ 2 ของเขาก็เกิดเหตุ กัตต์มันน์ถูกปลดแม้ว่ากำลังนำกลุ่มนำหัวหน้าฝูงจากปัญหาที่มีขึ้นกับกระดานบริหาร
"ผมโดนไล่ออกแม้ว่าผมไม่ใช่พวกผู้กระทำผิดกฎหมายหรือพวกรักร่วมเพศ มันแปลกไหมล่ะ" เขาว่าไว้แบบนั้นก่อนที่จะย้ายไปคุมอีกหลายทีมแต่ว่าไม่มีกลุ่มไหนที่เขาทรงอิทธิพลมากมายพอๆกับที่ประเทศโปรตุเกส ในวันที่เขาได้คุม เบนฟิก้า ลิสบอน ในปี 1959
วันแรกของการทำงานที่ เบนฟิก้า เริ่มอย่างรุ่มร้อน กัตต์มันน์ เริ่มด้วยวิธีขายนักฟุตบอลออกมาจากกลุ่มทิ้งทีเดียว 20 คน รวมทั้งดันนักฟุตบอลเยาวชนขึ้นมาเล่นชุดใหญ่แทน
"หมอนี่ดูแลนักฟุตบอลเสมือนเลี้ยงสัตว์เอาไว้ภายในกรง เลี้ยงไว้ให้พร้อมสำหรับเพื่อการโชว์ของเขา เขาจะก่อให้มั่นใจว่าทุกคนมีความเชื่อมั่นและมั่นใจสูงปรี๊ดและก็ไม่มีความหวาดกลัว และก็เขาแสดงออกให้บุคคลอื่นมีความเห็นว่าเขาไม่เคยกลัวอะไรเลย" ผู้ฝึกสอนคนหนึ่งของ เบนฟิก้า เล่าให้ The Guardian ฟัง ว่า กัตต์มันน์ เป็นราวกับคนเลี้ยงสิงโตให้เชื่อง
เวลาที่ กัตต์มันน์ เองก็มักสัมภาษณ์เชิงคุยโวแล้วก็มั่นใจในตัวเองเสมอ เขาเคยพูดว่ากลุ่มของเขาไม่กลัวการเสียประตู เนื่องจากถึงแม้ว่าจะโดนยิงได้ ยังไงเสียเชิงมของเขาก็จะยิงให้ได้มากกว่าและก็เป็นผู้ชนะอยู่ดี
เบนฟิก้า ในสมัยของ กัตต์มันน์ นั้นเป็นกลุ่มที่ใช้ระบบบอลที่แปลกใหม่ เขาปรับกลุ่มมาเล่นในระบบ 4-2-4 ที่โลกไม่เคยพบ ใช้ปีกสองฝั่งเล่นเกมบุกแบบไม่ลืมหูลืมตา รวมทั้งเพียงแค่ปีแรกนักฟุตบอลที่เขาขุนมาเองกับมือก็ช่วยเหลือกันเล่นจนถึง เบนฟิาก้า ครอบครองแชมป์ลีกในช่วงฤดูกาล 1959-60
ในตอนปิดฤดูกลุ่มชุดนั้นได้โอกาสได้เดินทางไปโชว์ฝีเท้าที่แอฟริกา เขาพบกับชายหนุ่มชาวโบซัมบิกของสมาคม Ferroviaria กัตต์มันน์ เข้าไปสนทนาด้วยตัวเอง รวมทั้งทางสมาคมดังที่ได้กล่าวมาแล้วกล่าวว่าพวกเขาอยากได้เงิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นค่าตอบแทนของ "ยูเซบิโอ" แล้วก็ไอ้หนุ่มคนนี้นี่เองที่เปลี่ยนเป็นราชาที่ เบนฟิก้า พร้อมก่อให้เกิดความโหฬารสูงที่สุดเท่าที่สมาพันธ์ที่นี้เคยมี
แต่ว่าก็ดังเดิม ปัญหาของ กัตต์มันน์ เป็นแม้ว่าจะเป็นคนเก่งแต่ว่าเขาเป็นพวกยอมหักไม่ยินยอมงอ เขาไม่กลัวรุ่นใหญ่หน้าไหนทั้งหมด เขาจัดว่าตนเองเป็นผู้ฝึกสอนรวมทั้งสิทธิ์ทั้งหมดทุกอย่างจำต้องตกอยู่ที่เขาผู้เดียว
แรกไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้งเนื่องจากว่าเขานำแชมป์และก็การบรรลุเป้าหมายมาสู่กลุ่มทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบ เรอัล มาดริด ในนัดหมายชิงแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1962 แบบหักปากกาเซียน ทั้งที่ พระราชาชุดขาว มีผู้เล่นอย่าง ปุสกัส แล้วก็ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ที่นับว่าเก่งที่สุดในโลก ณ เวลานั้น ทำให้ไม่มีกระดานกล้างัดข้อเขาแบบโจ่งแจ้งเนื่องจากกลัวกระแสจากแฟนบอลจะคืนกลับ
"ทุกคนมานั่งที่ตรงนี้ สุภาพบุรุษทั้งหลายแหล่ผมจะบอกอะไรให้ มาดริด เป็นกลุ่มที่ดี แต่ว่าพวกมันก็อ่อนเพลียเป็น พวกมันแก่รวมทั้งเริ่มที่จะเหน็ดเหนื่อยง่าย พวกมันแพ้พวกเราหรอก ให้ออกมาวิ่งแข่งกับพวกเรายังสู้ไม่ได้เลยด้วย ดิ สเตฟาโน่ ความรู้ยไปแล้ว" นี่เป็นสิ่งที่ กัตต์มันน์ จูงใจนักสู้ให้กับผู้ร่วมทีมในเวลากลางคืนประวัติศาสตร์
"ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขามาถึงประเทศโปรตุเกส ความเกี่ยวพันของ กัตต์มันน์ แล้วก็ เบนฟิก้า มีความสลับซับซ้อนมากมาย บุคคลิกของเขาเต็มไปด้วยความพร้อมเพรียงสำหรับการที่จะไม่ตรงกันกับทุกคน แต่ว่าก็ค้นหาการบรรลุเป้าหมายแบบไม่หยุดยั้งด้วย" เบน ชาเว ข้ารูฟุตบอลของประเทศโปรตุเกสกล่าวกับ CNN
"เขาพาทีมได้แชมป์ยุโรป 2 ปีต่อเนื่องกัน จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหา อันโตนิโอ คาร์ลอส ที่เป็นประธานคนใหม่แบบหยกๆถึงแนวความคิดของเขาที่สมาพันธ์จะต้องยอมรับฟัง เขาวิงวอนคำสัญญาฉบับใหม่ รวมทั้งงบประมาณทำทีมเพิ่ม"
คำตอบจากท่านประธานเป็น ไม่ พวกเขามั่นใจว่า เบนฟิก้า มีขุมกำลังที่กล้าแกร่งอยู่แล้ว นอกจากนั้น กัตต์มันน์ ก็มิได้ค่าตอบแทนที่เขาเรียกร้องไปด้วย
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอม กัตต์มันน์ ได้ฟังคำตอบก็ไม่รอคอยอะไรนาน เขาเดินเคาะโต๊ะดังเปรี้ยงแล้วก็ยื่นจดหมายลาออกในทันที แต่ว่าไม่จบเท่านั้นเขามีของสมนาคุณด้วยคำบอกเล่าที่ว่า "นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เบนฟิก้า จะมิได้แชมป์ยุโรปไปอีก 100 ปี มึงรอมอง" แล้วเขาก็เดินหายลับไป
สมัคร TS911 วันนี้รับเครดิตฟรีสูงสุด 1,500 บาท ฝาก-ถอน ไม่จำกัด ตลอด 24 ชั่วโมง