กรุงเมืองโตเกียว ญี่ปุ่น ช่วงปลายสมัย 70’s ฮารุกิ มุราคามิ ยังมิได้เป็นคนเขียนมีชื่อ ไม่สิ เขายังมิได้เริ่มแต่งหนังสือเลยด้วย ในขณะนั้นมุราคาไม่ในวัยยี่สิบปลายๆเพิ่งจะจบการศึกษามหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน หารายได้ด้วยการเป็นเจ้าของบาร์แจ๊สเล็กๆจุดศูนย์กลางกรุงเมืองโตเกียว ถึงจะมิได้ทำให้เขามั่งคั่ง แต่ว่าก็มีลูกค้าประจำแวะเวียนมาต่อเนื่องในแต่ละตอนกลางคืน
ถ้าเกิดดูจากมุมมองบุคคลภายนอก นี่เป็นงานในฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมุราคามิผู้เผลอไผลในดนตรีแจ๊ส การได้อยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ชอบพอทุกตอนกลางคืน ได้จับใจกับเครื่องดื่มแก้วโปรด มีบทสำหรับพูดท่ามกลางกรุ๊ปควัน คงจะทำให้เขาแฮปปี้
ใช่ ในตอนแรกก็เป็นอย่างนั้นล่ะ แต่ว่าเมื่อมุราคาไม่ทำธุรกิจนี้ต่อเนื่องกันนับเป็นเวลาหลายปีเขาก็เริ่มศึกษาและทำการค้นพบความเจ็บของวิถีชีวิตอย่างงี้
โดยธรรมชาติมุราคาไม่ไม่ใช่คนช่างจ้อ ตรงกันข้ามเขาเป็นลัทธิปัจเจกนิยมแบบสุดขีด การได้ใช้เวลาอยู่กับตนเองภายใต้ความเงียบสงบเป็นความสำราญของเขา แต่ว่าการเป็นเจ้าของบาร์นั้นไม่อาจจะทำแบบงั้นได้ เขาควรเป็นมิตรพร้อมที่จะคุยกับลูกค้าทุกคน นอกเหนือจากนี้อาชีพนี้ยังทำลายสุขภาพมากยิ่งกว่าที่คิด มุราคามิดื่มหนักและก็ดูดบุหรี่มากยิ่งกว่าวันละ 60 มวน
ต่อจากนั้นไม่กี่ปี มุราคาไม่ก็เริ่มแต่งหนังสือเล่มแรก “Hear the Wind Sing” และก็มันก็ออกจะบรรลุผลสำเร็จ เข้าชิงรางวัล “อาคุตาวาระ” นับว่าเป็นรางวัลใหญ่ในแวดวงหนังสือประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ดีถึงจะเพียงพอเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อบ้างสุดแท้แต่มุราคาไม่ก็ยังเปิดกิจการบาร์อยู่ ซึ่งการใช้ชีวิตอย่างนี้ยิ่งผลกระทบในทางร้ายต่อร่างกายของเขาเข้าไปอีก มุราคาไม่ใช้เวลาหลายชั่วโมงในทุกวัน เพื่อแต่งหนังสือ รวมทั้งอีกหลายชั่วโมงสำหรับเพื่อการดูแลบาร์ แม้คนรอบข้างจะเสนอเขาว่า
“เพราะอะไรไม่ว่าจ้างบุคคลอื่นมาดูแลกิจการให้ละ ส่วนนายก็แต่งหนังสือไป”
“ผมเป็นคนชนิดที่จำต้องสุดกำลังกับทุกสิ่งที่ทำ ถ้าหากบกพร่องไปจะได้ไม่เศร้าใจ” นี่เป็นคำตอบของมุราคาไม่
เมื่อวัยปิ้งไปสู่เลขสาม มุราคาไม่ก็ออกหนังสือเล่มลำดับที่สองของตน “Pinball, 1973” รวมทั้งตรงเวลาเดียวกันกับที่เขาตกลงใจขายกิจการค้าบาร์แจ๊สของตนเอง มุราคาไม่ตกลงใจมุงหน้าสู่ถนนหนทางสายนักประพันธ์เต็มกำลังท่ามกลางเสียงโต้เถียงจากคนที่อยู่รอบข้าง เนื่องจากว่าตอนนั้นถึงจะพอเพียงมีชื่ออยู่บ้าง แต่ว่ากิจการค้าบาร์ก็ทำรายได้เข้ากระเป๋ามุราคาไม่มากยิ่งกว่างานนิพนธ์
“ถ้าเกิดมันไม่รุ่งพวกเราค่อยกลับมาเปิดอีกรอบก็ได้ ผมยังชายหนุ่มแล้วก็มีเวลาให้เริ่มต้นใหม่อยู่ แต่ว่าในช่วงเวลานี้ผมอยากเวลาว่างสักสองปีให้ผมสุดกำลังกับงานนิพนธ์ของตนจริงๆ“ มุราคาไม่ชี้แจงให้เมียเขารู้เรื่อง
มุราคามิทำทุกๆอย่างดังที่ตนเองตั้งมั่น เขาเดินทางไปดังที่ต่างๆในประเทศญี่ปุ่นเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลมาแต่งหนังสือเล่มใหม่ ทุกสิ่งกำลังเดินทางไปได้งาม เพียงมีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่แปรไป มุราคาไม่ยังคงดื่มหนัก ดูดบุหรี่วันละ 60 มวน รวมทั้งนั่งดำเนินการที่โต๊ะวันละหลายชั่วโมงอย่างเดิม จนกระทั่งเขาเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง น้ำหนักที่มากขึ้นเรื่อยๆกระทั่งรู้สึกอ้วน ยิ่งกว่านั้นผิวของเขาก็เริ่มเหลืองจากพิษยาสูบ
ตอนที่กำลังเขียน “A Wild Sheep Chase” นิยายเล่มลำดับที่สาม และก็อายุปิ้งเข้า 33 ปี มุราคาไม่ก็ตกลงใจลุกขึ้นยืนจากโต๊ะไปทำบางสิ่ง ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดไป
ฮารุกิ มุราคามิ กับความเจ็บที่งดงามบนก้าววิ่ง
“การวิ่งนั้นมีจุดเด่นล้นหลาม สิ่งแรกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับตัวคุณเอง คุณไม่จำเป็นที่ต้องให้คนใดกันแน่มาช่วยสอน รวมทั้งนอกจากคุณสามารถวิ่งที่แห่งไหนก็ได้ตามใจชอบ ขอแค่เพียงมีรองเท้าวิ่งหนึ่งคู่ก็พอเพียงแล้ว”
“อีกอย่างเป็นการเล่นกีฬาเป็นกลุ่มไม่เหมาะสมกับตัวผม อย่างที่บอก ผมถูกใจใช้เวลากับตนเอง ซึ่งการวิ่งเป็นขณะที่สามารถอยู่กับตนเองได้สุดกำลัง”
เพื่อจะแปลงเป็นนักประพันธ์นวนิยายที่อายุยืนยาว มุราคามิตกลงใจที่จะขมักเขม้นกับแนวทางดำเนินชีวิตใหม่ของตน เขาย้ายออกจากเมืองใหญ่มาดำเนินชีวิตอยู่ในเขตบ้านนอก เมืองที่นาราชิโนะ จังหวัดชิบะ มันเป็นสถานที่ที่สงบเงียบเหมาะสมกับการปลีกวิเวกเพื่อแต่งหนังสือและก็วิ่งอย่างพอเหมาะพอเจาะ
ในขณะนี้มุราคาไม่กำลังจะมีความสำราญกับชีวิตที่ตนเองเลือก แต่ว่าโน่นมิได้แปลว่าวิถีทางจะโรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ สำหรับเพศชายที่ดำเนินชีวิตอยู่กับการบ่อนทำลายสุขภาพมาทั้งชีวิต ในตอนเริ่มบริหารร่างกาย ความทรมาทรกรรมเป็นราคาที่จำเป็นต้องจ่าย
แต่ว่าเมื่อยิ่งวิ่งยิ่งมองเห็นความเคลื่อนไหว มุราคามิทำเวลาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยไม่ทรมาทรกรรมเสมือนแต่ก่อน นอกเหนือจากนั้นเขายังเลิกยาสูบได้น่าฟังการวิ่ง มุราคาไม่ทราบว่าเขาไม่อาจจะวิ่งก้าวหน้าถ้าหากยังดูดบุหรี่อยู่ แล้วก็หากจำต้องเลือกหนึ่งอย่าง เขาก็เลือกสิ่งที่ดีกับตนเอง
“ไม่ว่าจะเป็นวันที่ร้อนอบอ้าว ฝนตก หรือหนาวแค่ไหน ผมก็จะบังคับตนเองให้ออกไปวิ่ง เพราะว่าหากพวกเรายอมแพ้ยอมในวันแรก วันต่อๆไปพวกเราก็จะทำแบบงี้อีก”
“ถ้าเกิดวันไหนผมขี้เกียจคร้านออกไป ผมจะมีความคิดว่าตนเองโชคดีขนาดไหนแล้วที่ได้เป็นนักเขียนนวนิยาย ได้บริหารเวลาจากที่จิตใจตนเองอยาก กับเพียงแค่การออกไปวิ่งเพียงเท่านี้ทำไม่ได้หรอยังไง” มุราคาไม่เปิดเผยถึงเทคนิคที่ช่วยส่งเสริมให้เขาออกไปวิ่งในแต่ละวันอย่างไม่มีข้อบกพร่อง
จากหนุ่มน้อยเจ้าสำราญ รายล้อมด้วยอบายมุข รวมทั้งนอนเมื่อฟ้าสว่าง การวิ่งเปลี่ยนแปลงให้มุราคามิเป็นอีกคนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเปลี่ยนเป็นคนนอนเมื่อฟ้ามืด ตื่นเมื่อฟ้าสว่าง ดำรงชีวิตอย่างงี้จนกระทั่งแปลงเป็นงานประจำวัน ผลสรุปที่ได้เป็นเป็นสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นอย่างชัดเจน วันแรกที่มุราคาไม่เริ่มวิ่ง ระยะทางเพียงแค่ 5 กม.ก็แสนรุนแรงสำหรับเขาแล้ว แม้กระนั้นในตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็น “คนเขียนลูกค้าประจำมาราธอน” ด้วยเหตุว่าไม่ว่าจะบอสตันมาราธอน, นิวยอร์กมาราธอน แล้วก็อีกหลายงานมาราธอนทั้งโลก เขาก็ปราบมาแล้วเกือบจะทั้งหมด
“เวลาสำหรับในการวิ่งมาราธอนที่ยอดเยี่ยมที่ผมทำเป็นเป็น 3 ชั่วโมง 27 นาที ในงานนิวยอร์กมาราธอนเมื่อปี 1991 โน่นน่าจะเป็นตอนที่ร่างกายผมพร้อมที่สุด ถึงแม้ว่าช่วงนี้ในเวลาที่ผมทำเป็นจะช้าลงไปเรื่อยตามอายุที่มากขึ้น”
“ถึงการใช้ชีวิตอย่างนี้จะมีผลให้ผมตัดเยื่อใยสัมพันธ์กับผู้คนในค่ำคืนไปอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งมันบางทีอาจจะมองแตกต่างจากสิ่งที่ผมเขียนออกมา แต่ว่าผมมั่นใจว่าผู้อ่านของผมจะยอมรับได้ไม่ว่าผมจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหนก็ตาม”
จากวันนั้นจนกระทั่งวันนี้ เวลาผ่านพ้นมาแทบสี่ทศวรรษ มุราคามิในวัย 70 ปี ยังคงมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็ออกวิ่งอาทิตย์ละ 6 วัน ไม่แน่ว่าหากเขาไม่ตกลงใจเริ่มวิ่งในเวลาที่อายุ 33 ในช่วงเวลานี้ก็บางทีอาจไม่เป็นผลงานของเขาให้คนอ่านทั่วทั้งโลกได้ยกย่อง สิ่งที่เขาได้รับจากการวิ่ง เป็น สุขภาพทางกายด้ามจับจำเป็นต้องได้ด้วยตาเปล่า แต่ว่านอกเหนือจากสิ่งนี้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งจำเป็นที่เขาได้รับจากมัน
“ฮารุกิ มุราคามิ เป็น ผู้เขียนในคราบเปื้อนนักวิ่ง” หรือ “ฮารุกิ มุราคามิ เป็นนักวิ่งในคราบเปื้อนผู้เขียน” ไม่ว่าคุณจะนิยามเพศชายคนนี้ไว้ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องไม่ถูก เพราะว่าเขาชำนิชำนาญมันทั้งคู่อย่าง และก็ใช้เวลาอยู่กับมันมามากยิ่งกว่าครึ่งชีวิต กระทั่งศึกษาค้นพบว่า “การเขียนกับการวิ่งนั้นมีหลายสิ่งที่แบบเดียวกัน”
การจะเป็นผู้เขียนที่ดีนั้นต้องมีสามสิ่ง ความสามารถพิเศษ, สมาธิ, รวมทั้งความพากเพียร เหมือนกับการวิ่ง ที่หากแม้คุณอาจจะไม่มีความสามารถพิเศษ แต่ว่าสิ่งที่ชดเชยได้เป็นพรแสวงจากการฝึกหัด สมาธิเป็นอีกหนึ่งของจำเป็นควรมี การเขียนหนังสือนั้นคุณจำต้องจดจ่ออยู่กับความนึกคิดตนเองวันละหลายชั่วโมง อย่างกับการวิ่งที่กลางทางอย่างเดียวที่อยู่กับคุณเป็นตัวคุณเอง คุณมิได้เอาชนะคนไหน แต่ว่าเอาชนะตนเอง นอกจากความอุตสาหะเป็นสิ่งในที่สุดที่จะจำเป็นมาก คนเขียนเป็นอาชีพที่สันโดษ คุณจำต้องตื่นมาทำแบบเดิมบ่อยๆวันแล้ววันเล่า จมอยู่กับจินตนาการของตนเอง ถ้าเกิดไม่ขยันมากพอบางทีอาจจะยอมแพ้ยอมยกธงขาวไปได้อย่างง่ายดายการวิ่งก็ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าทุกช่วงเป็นความสนุกสนาน ช่วงที่ความเบื่อหน่ายแล้วก็ทรมาทรกรรมก็มีมากมายไม่แพ้กัน แต่ว่าความขยันไม่ยอมแพ้กับหัวใจตนเองเป็นสิ่งที่จะทำให้ท่านผ่านมันไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่กำลังทะยานเข้าเส้นชัยกับในช่วงเวลาที่กำลังเขียนบรรทัดท้ายที่สุดของหนังสือแต่ละเล่มก็ให้ความรู้ความเข้าใจสึกที่เช่นเดียวกัน มันเป็นตอนที่ยอดเยี่ยมยากเกินจะชี้แจง โดยสิ่งกลุ่มนี้มุราคามิได้เล่าเอาไว้ในหนังสือ “What I Talk About When I Talk About Running” บันทึกเรื่องราวที่เขาศึกษาค้นพบบนก้าววิ่ง
“การวิ่งช่วยทำให้ผมเป็นผู้เขียนที่ดีขึ้น บางเวลาเวลาผมแต่งหนังสือติดต่อกันเป็นเวลานานๆอย่างกับว่าผมจมลงไปกับจินตนาการด้านมืดของตนเอง แต่ว่าการวิ่งนี่แหละช่วยดึงผมขึ้นมา”
มุราคามิกล่าวว่าเขาตั้งมั่นจะวิ่งไปเรื่อยกระทั่งกำลังจะถึงวันที่ร่างกายของเขาจะไม่ไหวจริงๆเพราะว่าปัจจุบันนี้การวิ่งได้เปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของชีวิตของเขาไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
สมัคร TS911 วันนี้รับเครดิตฟรีสูงสุด 1,500 บาท ฝาก-ถอน ไม่จำกัด ตลอด 24 ชั่วโมง