สำหรับ สมจิตร จงจอหอ ตำนานแวดวงมวยสากลสมัครเล่นไทย เสียงเชียร์จากแฟนกีฬาเพื่อนร่วมชาติ ทำให้เขารู้สึกเช่นไร ในวันที่กำลังจะขึ้นเวทีกับไฟต์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต สียงเชียร์จากคนภายในสนาม, ออร่าแรงกดดันที่ส่งมาจากคู่ต่อสู้เบื้องหน้า, จุดสำคัญของเกมที่กำลังจะเกิดขึ้น, ความนึกคิดต่างๆที่อยู่ในสมอง ทั้งสิ้นล้วนเป็นสิ่งที่มีผลถึงความแน่ใจ ที่บางทีอาจสม่ำเสมอถึงผลงานของตัวนักกีฬาทั้งหมด
จากครอบครัวที่มีฐานะไม่มีเงินมีทอง ก็เลยไม่แปลกที่จึงควรเดินหน้าไปสู่สังเวียนตั้งแต่วัยเด็ก สมจิตรเริ่มชกมวยไทยตั้งแต่อายุเพียงแต่ 8 ขวบเพียงแค่นั้น ก่อนจะเดินทางเดินสายต่อยตามสนามต่างๆในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งมีอยู่บ้างที่ได้เข้ามาต่อยในกรุงเทพมหานคร
แต่ว่าด้วยวัยที่มากขึ้น ความนึกคิดของคนเราก็ย่อมมีการเปลี่ยนปกติ รวมทั้งในวัย 21 ปี เจ้าตัวก็ได้ตกลงใจครั้งสำคัญ สำหรับในการเปลี่ยนแปลงสายจากมวยไทย สู่มวยสากลสมัครเล่น
"หัวข้อนี้ก็เกี่ยวกับความมั่นคงยั่งยืนของชีวิตอีกนั่นแหละ สมัยนั้นรายได้จากการเป็นนักกีฬาเพียงอย่างเดียวไม่ค่อยพอเพียงต่อการดำเนินชีวิต ทำให้นักกีฬาผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเลือกที่จะใช้กีฬาเป็นบัตรผ่านทางสู่การเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความยั่งยืนมั่นคง มีเบี้ยเลี้ยง มีผลประโยชน์ต่างๆและก็ผมก็เช่นเดียวกัน เริ่มต้นเลยเป็นการได้เข้าไปอยู่ในทัพบก เริ่มจากพลอาสาสมัครหน่วยสอดแนม เพียงพอภายหลังครอบครองแชมป์ได้ ก็ได้ติดขั้น และก็เจริญไปเรื่อย"
ถึงแม้ตัวสมจิตรจะบอกว่า กว่าที่เขาจะปรับนิสัยจากการเป็นนักมวยไทย สู่นักมวยสากลสมัครเล่นได้อย่างเต็มกำลัง ก็จำต้องใช้เวลาถึง 6 ปี แม้กระนั้นระหว่างนั้นเขาก็ก้าวสู่ทำเนียบนักต่อยกลุ่มชาติได้เสร็จ ก่อนที่จะไปคว้าเหรียญทองในรายการต่างๆได้โดยตลอด
อย่างไรก็ดี ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า สำหรับชีวิตการเป็นนักกีฬากลุ่มชาติแล้ว เหรียญทองยอดเยี่ยมต้องการของทุกคนคงจะหนีไม่พ้น เหรียญทองโอลิมปิก
แต่ว่าเรื่องราวของสมจิตร จงจอหอ กับมหกรรมกีฬาที่มวลมนุษยชาติ ดูเหมือนจะเป็นเส้นขนาน ปี 2000 ที่นครสิดนี่ย์ ออสเตรเลีย เขาไม่สามารถที่จะคว้าโควต้าในรอบเลือกเฟ้นรอบแรก ชมรมมวยสากลสมัครเล่นที่เมืองไทยฯ ตกลงใจแปลงเอา วิภาควิจารณ์ พลฤทธิ์ ไปต่อยเพื่อชิงโควต้าแทน ก่อนที่จะวิภาควิจารณ์จะสามารถนำเหรียญทองโอลิมปิกกลับสู่ดินแดนขวานทองคำได้เสร็จ
4 ปีถัดมา สมจิตรผ่านรอบคัดเข้าไปต่อยในโอลิมปิก 2004 รอบท้ายที่สุดที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ด้วยความถนัดและก็ประสบการณ์ที่มากขึ้น ทั้งยังยังอยู่ในช่วงอายุที่พีคที่สุดของการเป็นนักมวย เป็น 29 ปี หลายข้างก็เลยชูให้เขาเป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าเหรียญทองกลับสู่บ้านเกิด
แต่ทว่าสมจิตรกลับเสียท่าปราชัยนักต่อยจากประเทศคิวบา หยุดป้ายเพียงแค่รอบ 2 เพียงแค่นั้น ช่องทางที่ทุกฝ่ายมีความรู้สึกว่า คราวนี้ไม่พลาดแน่ กลับจบลงในเวลาอันเร็วทันใจ ทำเขาแทบจะรับมันไม่ไหว
"ผมเศร้าใจ ฟูมฟายอยู่ 3 เดือนข้างหลังจบโอลิมปิกตอนนั้น กับความนึกคิดที่ว่า อาจจะจำต้องเลิกชกมวย เพราะเหตุว่าในเวลานั้นผมก็ 29 ปีแล้ว ถ้าเกิดรอคอยอีก 4 ปี ก็อายุ 33 ถึงแม้กฎของโอลิมปิกยังอนุญาต (กฎจำกัดอายุนักต่อยไว้ที่ไม่เกิน 34 ปี) แม้กระนั้นร่างกายพวกเราจะไหวรึเปล่า ผมก็บอกกับชมรม บอกกับสื่อว่า ผมขอเลิกชกมวยดีมากกว่า"
เสียงเชียร์ สมจิตร จงจอหอ ในวันสำคัญที่สุด
"ต่อนี้ไปคนไม่ใช่น้อยพอเพียงมองเห็นผมร้องไห้ออกทีวี ก็เข้ามาบอกกับผมว่า 'สมจิตร สู้ๆหน่อยสิ อีก 4 ปีมันไม่นานหรอก' ก็เก็บมาเป็นอย่างยิ่งจิตใจ เหมือนกับครอบครัวที่อยู่ข้างเคียง เกื้อหนุนผมสำหรับการตกลงใจ ผมก็กลับมามีความคิดว่า 4 ปีถามคำถามว่านานไหม นาน แต่ว่าระหว่างนั้นยังมีทัวร์นาเมนต์อีกเยอะแยะ พวกเราก็ต่อยถัดไปเรื่อยก่อน หากไหวก็ฮึดเพื่อฝ่าโอลิมปิกอีกคราว ถ้าหากไม่ไหว จะเลิกก็ไม่เสียหาย ที่สุดแล้วผมก็ตกลงใจกลับมาชกมวยให้กลุ่มชาติอีกที"
พลังใจจากครอบครัวตลอดจนแฟนกีฬาคนประเทศไทย ทำให้สมจิตรกลับมาอย่างอดทนอีกที กระทั่งสามารถคว้าโควต้าฝ่าโอลิมปิก 2008 รอบท้ายที่สุด ที่กรุงปักกิ่ง เมืองจีนได้เสร็จ นี่เป็นจังหวะท้ายที่สุดของเขาสำหรับเพื่อการคว้าเหรียญทอง เพราะเหตุว่าในตอนนั้น เขาแก่ 33 ปี กับ 7 เดือน
"รอบแรกที่ขึ้นสังเวียน ในตอนนั้นยังมีกองเชียร์ชาวไทยในสนามไม่มากมาย คงจะสัก 50-60 คนเองมั้ง แต่ว่าผมก็ได้ยินเสียงเชียร์อยู่นะ บอกตามจริงเลยว่า มันทำให้ผมเบาใจขึ้นมากมาย และมั่นอกมั่นใจกับเกมที่อยู่เบื้องหน้ามากกว่าเดิม"
สมจิตร คว้าแชมป์ไปได้ตามความหวังในรอบแรก ก่อนที่จะรอบถัดมา เสียงเชียร์จะยิ่งดังขึ้นเรื่อยตามปริมาณกองเชียร์ที่เข้าสนามมากขึ้น แล้วก็สุดท้าย เขาก็ผ่านเข้าชิงแชมป์ได้เสร็จ โดยมี อันดรี ลาฟฟิตา จากประเทศคิวบาเป็นปัญหาท้ายที่สุด
"ขณะที่ผมเดินเข้าสนามก่อนไฟต์จะเริ่มขึ้น ผมรู้สึกเสมือนกำลังจะต่อยต่อหน้าต่อตาแฟนคลับในประเทศไทยเลย เสียงเชียร์ 'ไทยแลนด์ ไทยแลนด์' ดังลั่นทั่วสนาม เนื่องจากว่าไม่เพียงแค่จะมีชาวไทยเข้ามามองเพียงแค่นั้น ผมมีความคิดว่ากองเชียร์ของพวกเราคงจะไปติดต่อสื่อสารกับกองเชียร์คนจีนที่เป็นเจ้าภาพด้วยเหมือนกัน จีนเองก็อยู่ในทวีปเอเชียเหมือนกับพวกเรา เมื่อคู่ต่อสู้เป็นไทยเจอประเทศคิวบา เช่นไรเสียเจ้าของงานก็จำต้องเชียร์คนร่วมทวีปร่วมกันอยู่แล้ว"
"เสียงเชียร์จากแฟนคลับคนไทย ทำให้วันนั้นผมต่อยแบบหมดแรงบีบคั้นอะไรเลย การออกหมัด ฟุตเวิร์ก การหลบหลีก ทุกสิ่ง มันลื่นไหล ฟรีสไตล์ เป็นไปตามธรรมชาติมากมายๆ"
ด้วยทุกสาเหตุที่ประกอบกัน ทำให้ สมจิตร จงจอหอ คว้าชัยเหนือ อันดรี ลาฟฟิตา ไปได้อย่างกินขาด 8-2 คว้าเหรียญทองโอลิมปิก อันเป็นยอดเยี่ยมมุ่งหมายของนักกีฬาดูเหมือนจะทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเอารางวัล MVP หรือนักต่อยมีคุณค่าปฏิบัติงานแข่งไปครอบครองอีกด้วย
ถึงแม้ว่าการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกของสมจิตร จะมีเหตุที่เกิดจากหลายสิ่งที่เพาะบ่มจนถึงพอดี ไม่ว่าจะเป็นฝีมือ หรือประสบการณ์ แต่ว่าเจ้าตัวเองก็การันตีว่า เสียงเชียร์ของแฟนคลับคนประเทศไทย เป็นอีกสิ่งจำเป็น ที่ช่วยทำให้เขาบรรลุจุดประสงค์ที่ความฝันสำหรับการเป็น "วีรบุรุษโอลิมปิก" ขวัญใจคนประเทศไทยได้ รวมทั้งเป็นสิ่งที่นักกีฬากลุ่มชาติไทยต้องการของทุกคนอีกด้วย
"ในเวลาที่พวกเราไปที่แหน่งใด แฟนกีฬาคนประเทศไทยที่พบก็จะบอกกับผมเสมอว่า 'สมจิตรสู้ๆ' เสียงเชียร์จากแฟนคลับทำให้นักกีฬาอย่างพวกเราเกิดกำลังใจ มีสมาธิ รวมทั้งได้การคิดนำไปปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่างๆในตัวเราให้ดียิ่งขึ้น กระทั่งบรรลุเป้าหมาย"
"แม้กระนั้นแม้ว่าโอลิมปิกจะเป็นรายการที่นักกีฬาทุกคนใฝ่ฝัน ผมขอกล่าวในฐานะนักกีฬาขอรับว่า ทุกรายการ ไม่ว่าจะรายการเล็กใหญ่ จะกีฬาซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ หรือรายการไหนๆเสียงเชียร์จากแฟนคลับไม่ว่าจะตอนไหน เป็นสิ่งที่นักกีฬาต้องการของทุกคน เพราะว่ามันทำให้พวกเรารู้สึกอบอุ่น มีพลัง รวมทั้งเกิดกำลังใจที่จะสู้ถัดไป เพื่อไปถึงเป้าหมายที่ทุกคนหวังไว้ขอรับ"
TS911 แทงบอลออนไลน์ และ คาสิโนออนไลน์ ที่มีมาตรฐานระดับโลกและได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา สมัคร วันนี้รับเครดิตฟรี!!! มูลค่าสูงสุด 1,500 บาท ศูนย์กลางเว็บแทงบอลที่ดีที่สุดอันดับ 1