รอน อาร์เทสต์ : นักบาส NBA ที่ชีวิตดีขึ้นหลังจากเลิกโทษคนอื่น
ประวัติของ เมตตา เวิลด์ พีซ หรือ รอน อาร์เทสต์ นักบาสเกตบอลที่ใครก็ต่างบอกว่าเพี้ยนและเดาใจยากที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเต็มใจเป็นอย่างมากที่จะเล่ามุมมองของตัวเองที่น้อยคนจะเข้าใจในตัวเขา และเฉลยว่าทำไมเขาจึงต้องเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนแปลงตัวเองจากนักบาสที่คนเกลียดที่สุดสู่นักบาสสายฮาขวัญใจโซเชี่ยลมีเดียจนถึงทุกวันนี้แม้จะเลิกเล่นไปแล้วก็ตาม
เหตุผลมันเป็นเนื่องจากตั้งแต่แมื่อ อาร์เทสต์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับ NBA เขาแต่งเรื่องราวมากไม่น้อยเลยทีเดียว โดยยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมสติที่คือปัญหาใหญ่ตลอดระยะเวลา เรื่องกลุ่มนี้หาเรื่องให้เขาเป็นที่รังเกียจอีกทั้งจากแฟนคลับบาสแล้วก็แม้กระทั้งจนกระทั่งเพื่อนพ้องร่วมกลุ่มของเขาเอง
"แกมันไอ้บ้า" เป็นสิ่งที่แฟนคลับบากบั่นเรียกชื่อเล่นของเขา คนจำนวนไม่น้อยชี้แนะให้เขาไปพบจิตแพทย์ภายหลังที่ทำเรื่องไม่เว้นแต่ละอาทิตย์ เขาถูกใจเจอหน้ากับคู่ต่อสู้แล้วก็เล่นผิดกติกา บีบคอ เอาหัวกระแทก ฟันศอก รวมทั้งชนดื้อรั้นๆเป็นสิ่งที่คนไหนต่างเบื่อหน่ายจิตใจ แต่ว่าสำหรับ รอน แล้วเขากล่าวว่า "ก็แล้วอย่างไรล่ะวะ?"
"โชคดีมากมายที่เวลามีคนตะคอกดุผมว่าไอ้บ้า ผมหาตัวคนร้องไม่พบ ไม่เช่นนั้นผมจะเดินเผชิญหน้าแล้วก็ดุด่าไอ้คนๆนั้นว่า 'แล้วเอ็งเป็นห่าอะไรกับเราล่ะเห้ย'?" เขาหัวเราะสำหรับเพื่อการให้สัมภาษณ์สำหรับชีวิตผู้เล่นบาสเกตบอลเมื่อครั้งสมัยก่อน
เหตุผลที่ รอน อาร์เทสต์เป็นนักบาสเกตบอลที่พร้อมทำลายทุกคนที่กีดขวางนั้น มันคือเรื่องของอดีตกาลที่ฝังใจ เขามองเห็นในสิ่งที่เด็กคนหนึ่งไม่สมควรมองเห็นเยอะมาก แล้วก็สิ่งพวกนั้นทำให้เขาแข็งกระด้างเกินกว่าจึงควรกลัวอะไร
"ตอนอายุ 13 ปี คนภายในครอบครัวของผม 14 คนอาศัยอัดกันในอพาร์ทเม้นต์ห้องเดียว แล้วไฟก็ไหม้ห้องของพวกเรา มันทำให้ทุกคนในบ้านจะต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด แมวของผมตายไป 1 ตัวเนื่องจากว่าโดนไฟคลอกในวันนั้น" เขาเล่าย้อนกลับไปวัยเด็กที่ยากลำเค็ญ
แค่นี้ยังไม่เพียงพอ ในช่วงเวลาที่เขาวัยรุ่นขึ้นมาอีกหน่อยแล้วก็เริ่มมีฝีมือสำหรับเพื่อการเล่นบาสขึ้นมาบ้าง เขากลับจะต้องเจอภาพที่สยดสยองที่สุดในชีวิต มันเป็นตอนที่เขาชิงชัยบาสในสนามสาธารณะ ในเวลาที่เด็กๆกำลังบันเทิงใจกัน มีชายกรุ๊ปหนึ่งเดินเข้ามาหักขาโต๊ะที่อยู่แถวสนาม ก่อนที่จะวิ่งมาในสนาม แล้วก็ใช้ส่วนที่หักแทงเข้าหัวใจของเด็กคนหนึ่งที่เล่นอยู่กับ รอน อาร์เทสต์เด็กคนนั้นเสียชีวิตโดยทันที
ทุกคนที่เข้าใจนี้ต่างเป็นห่วงว่าสิ่งที่ รอน มองเห็นเป็นสิ่งที่ไม่ปกติรวมทั้งร้ายแรงกว่าที่ภาวะจิตใจของเด็กคนจำนวนไม่น้อยจะยอมรับได้ หลายๆคนพากเพียรบอกให้เขาไปพบจิตแพทย์เนื่องจากว่ามั่นใจว่าสิ่งพวกนี้นี่แหละที่ทำให้เขาแปลงเป็นนักกีฬาบาสระดับ NBA ที่เล่นคนมากยิ่งกว่าเล่นบาส แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นการเตือนด้วยความห่วงใย หรือเนื่องจากว่าเป็นการเตือนที่เกิดมาจากสิ่งที่ต้องการที่จะล้อเลียน แม้กระนั้นสิ่งหนึ่งที่รอน อาร์เทสต์ ไม่เคยบอกผู้ใดกันเลยเป็น "จิตแพทย์" เป็นอาชีพที่รู้จักดีกับเขามาตั้งแต่เมื่อก่อนจะได้เข้ามาเล่นในระดับ NBA แล้ว
"ตอนผมยังเด็กมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น บิดามารดาของผมแยกทางกันรวมทั้งมันทำให้ผมจะต้องไปเข้าศูนย์ให้คำแนะนำปัญหาที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวเสมอๆ มันยากที่จะเดินเข้าไปในที่แบบงั้นตอนอายุ 13 ปี คุณต้องแอบเข้าไปแบบไม่ให้คนใดกันมองเห็นเวลาไปพบกับนักบรรเทา เพราะเหตุว่าถ้าเกิดมีคนทราบพวกเขาจะล้อคุณไม่มีทางจบวันสิ้นนั่นแหละ"
รอน มีความรู้สึกว่าหลายท่านดูเขาในมุมมองของตน รวมทั้งมีความรู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นง่ายราวกับบุคคลอื่น โน่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้านทานกับทุกคำสั่งสอนที่เข้ามา
ในปี 1999 ชิคาหรูหรา บูลส์ กลุ่มที่ดราฟต์เขาไปสู่ลีก ได้ซักไซ้ไล่เลียงประวัติความเป็นมาของรอน อาร์เทสต์ แล้วก็ถามตามกฎระเบียบว่าครอบครัวของเขามีคนใดกันแน่เป็นโรคจิตเวชศาสตร์ที่จำเป็นต้องใช้ยาระงับประสาทอะไรเทือกนั้นหรือเปล่า รอน อาร์เทสต์ตอบแบบง่ายๆเพราะเหตุว่ามิได้มีความคิดว่ามันจะมีผลอะไรกับเขา
"ใช่ บิดาของผมรับประทานยาแก้เครียด" เขาตอบกับข้าราชการของกลุ่มไปอย่างงั้น ก่อนที่จะคณะทำงานจะถือยาประเภทเดียวกันที่มีขนาดโดสน้อยกว่ากึ่งหนึ่งมอบให้กับ อาร์เทสต์แล้วก็เขาจะต้องรับประทานมันทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อปกป้องโรคทางจิตเวชที่บางทีอาจจะแปลงเป็นระเบิดเวลา
"ผมโดนบังคับให้รับประทานยาและก็ผมอึดอัดมากมาย ต่อไปผมก็ไม่เคยรับประทานมันอีกเลย ถ้าเกิดข้าราชการถามคำถามว่า รอน วันนี้นายกินยาแล้วหรือยัง ผมก็จะตีเนียนไปเลยเป็นต้นว่าตอบว่า ผมก็รับประทานแล้วสิจะเหลือหรอ? อะไรอย่างงั้น"
การยอมรับ,ระบาย,แก้ไข ของ รอน อาร์เทสต์
ไม่เคยทราบว่าสิ่งแวดล้อม การอุปถัมภ์ค้ำชู รวมทั้งการใช้ยาโรคทางจิตเวชมีผลต่อ อาร์เทสต์ หรือเปล่า แต่ว่าที่แน่นอนเขาเปลี่ยนเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่ไม่มีผู้ใดทายใจจิตใจได้ว่าจะทำอะไรต่อ ไม่ว่าจะในยามลงไปในสนาม หรืออยู่นอกสนาม แม้กระนั้นมันควรมีเหตุผลที่เขาบากบั่นแกล้งบ้าอยู่แบบนั้นเกือบทุกเมื่อเชื่อวัน
แม้ว่าจะเป็นนักบาสเก่ง แม้กระนั้นรอน อาร์เทสต์ไม่บางทีอาจลบภาพลักษณ์ที่คนเห็นว่าเขาสติไม่ดีได้ โดยเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในพฤศจิกายน 2004 แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาได้รับเลือกให้ติดกลุ่มออลสตาร์ แม้กระนั้นภาพจำกลายเป็นเรื่องห่วยๆที่เกิดในเกมตอนต้นฤดู 2004-05 ระหว่าง อินเดียน่า เพเซอร์ส สังกัดเดิมของเขา กับ ดีทรอยต์ พิสตันส์
อาร์เทสต์ โดนแฟนบาสของ พิสตันส์ ตะเบ็งด่าทอจากข้างบนอรรธจันทร์ เขารีบวิ่งขึ้นไปตามเสียงนั้นก่อนที่จะตีหมัดใส่แบบไม่ยั้งจนตราบเท่าฝ่ายจัดการแข่งรวมทั้งเพื่อนฝูงร่วมกลุ่มจะต้องเข้ามาห้าม ความประพฤติปฏิบัติคราวนั้นทำให้ เขาโดนแบนจาก NBA ตลอดตอนที่เหลือของฤดู สิริรวมช้านานถึง 86 นัดหมาย แล้วก็โน่นเป็นการแบนที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์จากในกรณีที่ผู้เล่นมิได้โดนแบนด้วยคดีสารเสพติด
ถามคำถามว่าเขาสำนึกไหม? ไม่เลยแม้กระทั้งน้อยมาก รอน อาร์เทสต์บากบั่นที่จะกล่าวว่าตัวของเขามิได้เป็นคนผิดในหัวข้อนี้ เพราะอะไรเขาจำเป็นต้องสารภาพด้วย?
"ก็ผมเติบโตมาจากสลัมคุณจะมาคาดหมายให้ผมมีมรรยาทได้อย่างไร? คุณไม่ต่อยเขามิได้หรอก เพราะว่าพวกเราไม่สมควรปลดปล่อยให้คนใดมาอาจเอื้อมคุณก่อน จู่ๆมีคนมาบอกใส่คุณแบบงี้ คุณมีความคิดว่ามันโอเคไหมล่ะ? ไม่หรอก มันไม่ใช่เรื่องที่จำต้องเห็นด้วยเลยนิดหน่อย" แม้ว่าจะโดนลงอาญามากไม่น้อยเลยทีเดียวแต่ว่า รอน อาร์เทสต์ไม่เคยคิดจะขออภัยคนไหนกันแน่กล้วยๆ
ทุกคนในกลุ่มไม่เห็นพ้องกับ อาร์เทสต์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มอย่าง พบร์เมน โอนีลล์ ที่ถึงกับตัดเพื่อนฝูงตัดฝูงกันเลย ตอนที่ แลร์ปรี่ เบิร์ด ที่เป็นประธานของ เพเซอร์ส ในขณะนั้น ก็รู้สึกผิดหวังและก็รู้สึกราวกับถูกคิดคดทรยศจากความประพฤติของ อาร์เทสต์
อย่างไรก็ดีมันไม่สามารถที่จะอ้าปากของเขาให้บอกคำว่าขออภัยได้ เมื่อมองเห็นมีความขัดแย้งสรอน อาร์เทสต์หลีกหนีปัญหาด้วยการขอย้ายกลุ่ม ซึ่งทางเพเซอร์ ก็รอคอยคำนี้อยู่แล้ว พวกเขาเอา รอน อาร์เทสต์ไปเทรดกับ เปคุณย่า สโตยาวัววิช จาก ซาคราวเมนโต้ คิงส์
อย่างเดียวที่ยังส่งผลให้ รอน อาร์เทสต์ยังได้โอกาสให้แก้ตัวได้เรื่อยเป็นเขาดันเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ใกล้เคียงกับการผลิตปัญหา แม้วันไหนอารมณ์เขาดีๆเขาก็จะสามารถเป็นตัวแปรชี้ชัยให้กับกลุ่มได้แบบเดียวกัน แต่ว่าในทางตรงกันข้ามสังกัดเดิมของเขายังจำต้องลุ้นว่าวันไหนบ้างที่เขาจะยิ้มแย้มแจ่มใส
การแกล้งบ้าแบบอัจฉริยะนักบาสเกตบอลของ อาร์เทสต์ยังก้าวเดินต่อไปพร้อมๆกับเรื่องราวความแปลกประหลาดในสไตล์การเล่นของเขา ตัวของ อาร์เทสต์ ชอบมีเรื่องมีราวกับคู่ปรับประจำ สมาธิของเขาไม่นิ่ง และก็มีลักษณะอาการน็อตหลุดแทบจะตลอดและก็หลายหนมันทำให้กลุ่มของเขาแพ้
ซึ่งช่วงนั้นเองแม้กระทั้งแฟนคลับของกลุ่มตนเองยังไม่ชอบเขาเลยด้วย โน่นเกิดเรื่องที่มีให้มองเห็นไม่บ่อยนัก ไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหนเขาจะเจอกับคนชังมากยิ่งกว่าแฟนและก็โน่นทำให้เขาเบื่อถึงระดับสูงสุด ...
"ก่อนหน้านั้นผมได้ยินมาบ่อยๆพวกเขาว่าผมบ้าเหลือเกิน และไม่พร้อมที่จะเล่นในระดับ NBA พวกเราจะต้องให้ใครซักคนมาช่วยเขานะ" รอน กล่าวถึงสิ่งที่ได้ยินบ่อยๆแล้วก็เป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
นี่บางทีอาจจะเป็นข้อเสนอแนะเดิมซึ่งไม่แตกต่างจากตอนปี 1999 ที่เขาอยู่กับ บูลส์ รวมทั้งถูกเห็นว่าบ้าจนถึงถูกเสนอแนะให้รับประทานยากับจำเป็นต้องเข้าหานักบรรเทาแล้วก็จิตแพทย์ แต่ว่าข้อแนะนำคราวที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2009 แล้วก็หลายสิ่งหลายอย่างแปรไปมากมาย มุมมองจากคนภายนอกคิดว่าการเจอจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องขวยเขินอะไร ซ้ำมันยังส่งผลดีให้กับผู้เจ็บป่วยอีกด้วย
รอน อาร์เทสต์เป็นหนึ่งในนั้น ในช่วงดังกล่าวข้างต้นเขาย้ายมาเล่นให้ แอลเอ เลเกอร์ส แล้วก็เจอกับใครสักคนที่ถูกโฉลกโน่นเป็น ดอนนี่ วอลช์ ซีอีโอของกลุ่มที่คุยกับเขาอย่างเปิดใจเป็นครั้งแรกแล้วก็กล่าวว่า "เลเกอร์ส จะช่วยชีวิตเขาขึ้นมาใหม่เอง" รวมทั้งก่อนจะเริ่มวิธีการทั้งผอง อาร์เทสต์จำเป็นที่จะต้องไปพบจิตแพทย์แม้กระนั้นโดยดี ครั้งนี้เขาเชื่อข้อเสนอนั้น
"ดอนนี่ วอลช์ เป็นชายที่น่าพิศวงมากมาย ภายหลังฝึกทุกหนผมจำต้องเข้าไปเจอนักบำบัดรักษาทุกวี่ทุกวัน และก็น่าประหลาดที่มันเปลี่ยนเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ผมสุขสบาย" ไม่ใช่แค่บอกเพียงแค่นั้นแต่ว่าสไตล์การเล่นรวมทั้งสมาธิของ อาร์เทสต์ก็กล่าวอย่างนั้นด้วย
"ครั้งก่อนผมเคยแม้กระนั้นจุดโฟกัสไปที่คู่แข่งขันที่ผมเกลียดชังขี้หน้า เพื่อหาเรื่องกับพวกเขา แม้กระนั้นในขณะนี้ผมว่าการเข้าบำบัดรักษาช่วยผมได้นะ ผมใช้เวลาสองปีฝึกฝนสมาธิกับการอยู่กับลมหายใจเข้าออก แล้วก็โน่นทำให้ผมสามารถอยู่กับเกมได้ตลอดระยะเวลา"