รถถัง จิตรเมืองนนท์ : เจาะวิถีคิดยอดนักมวยไทยรุ่นใหม่
รถถัง จิตรเมืองนนท์ แชมป์มวยไทยรุ่นฟลายเวต ของ ONE Championship นักมวยที่มองว่าการวางมาดเคร่งขรึมเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ ไม่ได้มีความหมายไปมากกว่าการร่ายท่วงท่าตามจังหวะเพลงหมอลำ เพื่อสร้างความบันเทิงแก่ผู้ชม
กว่าจะคว้าและป้องกันแชมป์ต่อหน้าแฟนมวยไทยจากทั่วโลกได้ดั่งฝัน รถถัง จิตรเมืองนนท์ ต้องฝ่าฝันกับบททดสอบมากมาย ที่ไม่ได้รอเขาอยู่บนเวทีมวยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตนอกสนาม เงินตรา, ชื่อเสียง, ผู้หญิง และสิ่งล่อใจอื่นมากมาย ที่เคยชักพานักมวยอนาคตไกลตกลงหุบเหวอนมืดมิดมานักต่อนัก
ผมต่อยไฟต์แรกตอนอยู่ป.5 ตอนนั้นเขาพาไปเปรียบมวย แล้วผมได้ไปชกแทนเพื่อน เพราะเพื่อนป่วยไปชกไม่ได้ หัวหน้าค่ายบอกว่าไปแต่งตัว ขึ้นรถ เดี๋ยวไปชกเลย
วันนั้นผมต่อยที่ภาคใต้ ต้องไปต่อยบนภูเขา เส้นทางก่อนไปชกมันก็โค้งเยอะ ผมเมารถ อ้วกอีก แต่พอไปถึงเวที ผมก็ขึ้นต่อย ชนะได้ค่าตัว 300 บาท
ความรู้สึกผมพอได้เห็นแบงค์ร้อยครั้งแรกนะ มันดีใจมาก ก่อนหน้านี้ เคยจับแต่เงินเหรียญ อย่างมากก็แบงค์ยี่สิบบาท พอได้จับแบงค์ร้อย มันดีใจ ผมคิดว่าต่อยมวยมันได้เงินง่ายนะ ต่อยสามยก ได้เงินสามร้อย
ตอนนั้นผมคิดจะเลิกชกมวยแล้วนะ ชกอยู่ใต้ค่าตัว 5-6 พันบาทแล้ว หัวหน้าค่ายบอกให้ผมมาชกที่กรุงเทพฯ แต่ผมบอกไม่เอา จะไม่ชกวย เขาก็บังคับให้ชก ผมเลยต้องลาออกจากโรงเรียน ตอนม.2 ขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วชกไฟต์แรก ได้ค่าตัวเพิ่มเป็นหลักหมื่นเลย
ตอนมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ผมใช้เงินเยอะมาก ยกตัวอย่าง ผมไม่เคยมีโทรศัพท์ของตัวเอง มีแต่เครื่องเก่าที่แม่ให้มา ผมอยากมีเครื่องใหม่ของตัวเอง ผมเอาเงินหมื่นจากค่าตัวมาซื้อโทรศัพท์ พอเบื่อ ผมเห็นคนอื่นเขาใส่ทอง มองว่าเท่ห์ เอาเงินไปซื้อทองอีก
มันเป็นชีวิตช่วงวัยรุ่นนะ วันรุ่นไม่มีใครเก็บเงินหรอก ผมชกได้เงินมาสองหมื่นบาท ประกาศเลยว่า วันนี้เงินต้องหมด พาเพื่อนไปเที่ยว ช่วงนั้นเกเรมาก ตอนค่าตัวหลักหมื่นต้นๆ ผมเกเรสุดๆ ไปผับ ไปเที่ยวหมดทุกที่ ช่วงนั้นกับเพื่อนถึงไหนถึงกัน หมดคือหมด ไม่รู้จักเก็บ
พ่ออ้วนครับ (อ้วน จิตรเมืองนนท์) แกให้กำลังใจผมตลอด บอกกับผมว่า "ถ้าเลิกชกมวย มึงจะเอาอะไรกิน ทำงานก่อสร้างได้วันละสามร้อย หลังเข็ด หลังงอ เหนื่อยทั้งวัน จะเอาเหรอ" แกบอกผมว่า สักวันจะเป็นวันของเรา ตั้งหน้าซ้อมต่อไป อย่าท้อ
ผมขับรถออกไปเนี่ย (ก่อนการสัมภาษณ์ รถถังเพิ่งกลับมาจากการออกไปซื้อบัวลอยให้เพื่อนร่วมค่าย) ผมเห็นคนแก่ คนพิการ เขาออกมานั่งขอทาน บางคนไม่มีแขนขา เขายังสู้ชีวิต เขาไม่ยอมแพ้ แล้วร่างกายมีครบทุกอย่าง จะมายอมแพ้ได้อย่างไร
เป้าหมายต่อไปของ รถถัง จิตรเมืองนนท์ คืออะไร
นักมวยทุกคนต้องมีเป้าหมาย สำหรับผม ข้อแรกคืออยากเป็นแชมป์ ข้อสองคืออยากได้เงินเยอะๆ มาเลี้ยงพ่อแม่เลี้ยงครอบครัว ผมว่าทุกคนคิดแบบนี้หมด แต่จะทำอย่างไรให้ไปถึงจุดนั้นได้ ผมมองว่ามันต้องใช้ความพยายามและอดทน
ผมเตือนสติตัวเองตลอด อย่างบางคนพอชกเสร็จ ไปดื่มไปสังสรรค์ ทุกวันนี้ผมไม่เอาเลยครับ เมื่อก่อนผมดื่มก็จริง แต่ตอนนี้ผมมองแล้วว่า มันทำลายสุขภาพ กว่าจะกลับถึงค่ายมาฟื้นตัวใหม่ มันก็เสียไปแล้ว เราทำร้ายร่างกายไปแล้ว
ผมแค่เปลี่ยนจากการดื่มเหล้า มาเป็นการกินอาหารอร่อยๆ ผมว่ามันดีกว่าดีต่อสุขภาพ แล้วมันก็มีความสุขด้วย โดยที่ไม่ต้องไปดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เมายา อะไรพวกนี้
ความแตกต่างคือนวมที่ ONE มันเล็ก ผมจะไปประมาทเปิดหน้าแลกไม่ได้ ต้องดูคู่แข่งดีๆ โอเค อาจจะต่อยแบบเล่นๆได้ แต่ต้องระวังให้ดี ถึงจะผมจะทนแค่ไหน พลาดไปมีโอกาสโดนน็อค มีโอกาสร่วงเหมือนกัน
ผมชกแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมชอบท้าทาย กวนตีน คู่ต่อสู้ ยียวนอ่ะพูดง่ายๆ แต่ชกเสร็จต้องมีมารยาท ผมต้องให้ความเคารพ ทุกคนคือพี่น้อง เพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน
ผมเป็นนักมวย ในวินาทีแรกที่ผมก้าวขึ้นไปบนบันได เวทีมวยนี้เป็นของผมแล้ว ผมอยากทำอะไร ผมแสดงออกมาให้เต็มที่ มันเป็นเวลาของผม
ตอนเปิดตัว ผมก็เต้นในรูปแบบของภาคอีสาน เพลงพื้นบ้าน ใส่หน้ากากไอรอนแมน ผมผสมหนังดัง หนังเมืองนอก เข้ากับเพลงอีสานพื้นบ้านเรา
ผมอยากให้คนที่มาดูในสนาม เขายิ้มและเต้นไปกับผม ให้เขาสนุกไปกับผม พอเข้าสู่ช่วงชกจริงๆ มันก็มีความตื่นเต้นความเร้าใจอยู่ มันมีทุกรสครับ ผมก็ภูมิใจนะ
เพราะเขาตีตั๋วมาดู เสียเงินก็แพง ถ้าต้องมาเจอมวยยกหนึ่งเตะสองครั้ง มันก็ไม่ได้ เปิดตัวเดินเฉยๆ มันไม่สนุก ไม่เร้าใจ แต่ถ้าผมเปิดตัว ผมออกมาเต้น มันก็ทำให้คนดูฮือฮา ผมทำให้เขาส่งเสียงกรี๊ด ผมทำให้เขาเต้นไปกับผมด้วย
ผมไปอยู่จุดนั้นบนเวทีของ ONE คนเยอะมาก เยอะกว่าเมืองไทยมาก ราชดำเนินมีแค่นี้ ลุมพินีมีแค่นี้ แถมยังมีแต่คนไทย ฝรั่งอย่างมากก็หลักร้อย
แต่ตรงนั้นกลายเป็นว่าคนไทยน้อย มีแต่ต่างชาติ แล้วผมเอาอาวุธมวยไทยไปเผยแพร่ มันต่างกันมาก เหมือนเวทีเล็กกับเวทีใหญ่
(นึกคิด) ผมเปรียบเหมือนกับนักร้อง นักร้องทุกคนต้องไต่เต้าขึ้นเวทีใหญ่ จากเวทีตามหมู่บ้าน สักวันต้องก้าวไปเล่นบนเวทีคอนเสิร์ต สำหรับผม ONE เหมือนเวทีคอนเสิร์ต มันแตกต่างกันมากจริงๆ
ครอบครัวครับ ครอบครัวอยู่ข้างผมเสมอ ไม่ว่าผมจะเป็นคนไม่ดี หรือรวยอย่างไร ครอบครัวก็อยู่ข้างผม วันนี้ผมมีคนรักเยอะ ถ้าวันหนึ่งผมไม่มีเงิน ไม่มีอะไร เขาก็ทิ้งผมได้ แต่ครอบครัวไม่เคยทิ้งผมเลยครับ เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรมา ครอบครัวอยู่ข้างผมเสมอ
อยากให้นักมวยทุกคน รักครอบครัวให้มากๆ ยิ่งพ่อแม่ ให้แกไปเถอะครับ พวกท่านอยู่กับเราได้อีกไม่นานหรอกครับ พวกท่านให้เรามากกว่าที่เราจะสามารถให้พวกเขาได้อีก
ผมมองว่ามันเป็นผลบุญที่ผมได้รับนะ ให้แกไปเท่าไร ผมได้กลับมาเป็นสิบเท่า พ่อแม่นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมกลับมาเป็นรถถังได้อย่างที่เป็นทุกวันนี้