แสงอาทิตย์แรงส่องลงมาเร่าร้อนไม่แพ้กับบรรยากาศการแข่งขันโมโตจีพีสนามท้ายที่สุดของฤดู 2017 "บาเลนเซีย กรังด์ปรีซ์" เนื่องด้วยข้างหลังจบการแข่งขันชิงชัย 17 สนามที่ผ่านมา ยังไม่เคยทราบผลแพ้ชนะ ตำแหน่งแชมป์โลกยังเปลี่ยนมือได้ ระหว่าง มาร์ก มาร์เกซ นักบิดชาวประเทศสเปน จากกลุ่ม Repsol Honda ที่มีคะแนนสะสม 282 แต้ม กับ อันเดร โดวิสิโอโซ่ นักบิดชาวอิตาลี จากกลุ่ม Ducati ที่มีคะแนนสะสม 261 แต้ม ถึงจะเป็นได้ยาก แม้กระนั้นทั้งหมดทุกอย่างยังเกิดขึ้นได้เสมอ
หากแม้ถ้าหากว่ากันตามทฤษฏี มาร์เกซไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสี่ยง เขาเพียงแค่ขับประคองตัวเองไปเรื่อยเน้นย้ำไม่มีอันตรายไว้ก่อน อย่างไรแชมป์ฤดูนี้ก็ไม่หนีเขาไปไหน แม้กระนั้นหลักทฤษฏีใช้ไม่ได้กับ "เด็กระเบิด" จากประเทศสเปนคนนี้ อย่างกับการคำนวณคะแนนเพื่อเป็นผู้ชนะนั้นไม่อยู่ในหัวของมาร์เกซเลย เนื่องจากสิ่งที่เขาคิด มีเพียงแต่อย่างเดียวแค่นั้น "ชัย"
เวลานี้ มาร์ก มาร์เกซ ในรถยนต์เลข 93 กำลังขับขี่ได้ดีเยี่ยม แทรกแย่งชั้น 1 กับ โยฮัน ซาร์โก นักบิดเลือดประเทศฝรั่งเศสจากกลุ่ม Monster Yamaha Tech 3 แบบล้อชนล้อ ส่วน โดวิสิโอโซ่ คู่ต่อสู้แย่งแชมป์คนสำคัญในเลข 04 ตามมาห่างๆที่ชั้น 5 ขณะการประลองเหลืออีกเพียงแค่ 7 รอบแค่นั้น พอๆกับว่าในช่วงเวลานี้ตำแหน่งแชมป์โมโตจีพีฤดู 2017 เป็นของมาร์เกซไปแล้วกว่า 90%
แต่ว่าแล้วอยู่ๆมาร์เกซที่กำลังนำก็พลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเข้าโค้งแรกข้างหลังผ่านทางตรงหน้าเส้นชัยผิดจังหวะกระทั่งทำให้เสียการควบคุมรถยนต์ แต่ว่าด้วยประสบการณ์อันโชกโชน หรือจะความถนัดอันล้นเหลือ ปฏิกิริยาอันเร็วก็ตาม มาร์เกซยังสามารถใช้หัวเข่าจนกระทั่งกับผิวถนน ประคองตัวรถยนต์ไม่ให้ล้ม รวมทั้งกลับขึ้นมาชิงชัยต่อได้
แม้ว่าจะเสียชั้น แม้กระนั้นการเซฟรถยนต์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนับว่าเป็น "การเซฟที่ฤดู" ก็ว่าได้ เนื่องจากว่านั่นถือได้ว่า ช่องทางสำหรับเพื่อการเป็นแชมป์ยังขึ้นกับตัวเขาเองถัดไป แล้วก็เพียงแค่ 2 รอบต่อมา โดวิสิโอโซ่ กลับเสียท่าทำรถยนต์ล้มเสียเอง กระทั่งจะต้องออกมาจากการประลองไปอย่างโชคร้าย ซึ่งโน่นทำให้ มาร์ก มาร์เกซแปลงเป็นแชมป์โลกไปในทันทีทันใด
หัวข้อนี้มีตอนจบที่สวยสดงดงามสำหรับมาร์เกซ แต่ว่าถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างแปรไปเพียงแต่นิดหนึ่ง เขาบางครั้งอาจจะจำเป็นต้องออกมาจากการแข่งขันชิงชัยไปในรอบที่ 23 รวมทั้งตำแหน่งแชมป์บางทีอาจหลุดมือไปก็ได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะว่านิสัยบ้าระห่ำ สไตล์การขับขี่อันบุ่มบ่าม และก็การทิ้งโค้งที่มองขัดกับหลักฟิสิกส์ของเจ้าตัว
มุมหนึ่งมันบางทีอาจจะมองเสี่ยง แต่ว่าอีกมุม ด้วยเหตุว่าการขับขี่อย่างงี้นี่แหละที่ทำให้มีอาการชายที่ชื่อ มาร์ก มาร์เกซมาถึงจุดนี้ มันเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาแปลงเป็นผู้ชนะ
สมญานาม "เด็กระเบิด" มิได้มาเพราะว่าโชคเข้าข้าง เพราะเหตุว่าตั้งแต่แมื่อ มาร์ก มาร์เกซเปิดตัวทีแรกสำหรับเพื่อการแข่งรุ่น 125 ซีซี ปี 2008 เขาก็เด่นด้วยสไตล์การขี่อันดุเดือด หวือหวาน่าติดตาม ซึ่งประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากมันไม่ใช่แค่การเรียกเสียงเฮจากผู้ชมแค่นั้น แต่ว่าสไตล์การขับขี่อย่างงี้ล่ะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุผลของนักบิดชาวประเทศสเปนรายนี้
"ผมมิได้ทำด้วยเหตุว่าผมถูกใจ แม้กระนั้นผมทำด้วยเหตุว่าผมจะต้องทำ" มาร์เกซเปิดเผยถึงความรู้สึกที่เขาเคยทิ้งโค้งด้วยความเอียงกว่า 66 องศา สำหรับเพื่อการชิงชัย เยอรมัน กรังด์ปรีซ์ ปี 2019 ซึ่งแม้ว่าจะเข้าโค้งแบบเกือบจะแบนราบกับพื้น แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่ล้มอะไร
ถึงจะเป็นลักษณะเด่นที่พาให้เขาไปถึงความมีชัย แต่ว่าครั้งคราวมันก็ราวกับเป็นดาบสองคม ความดุเดือดที่ "มากเกินความจำเป็น" ก็ย้อนกลับมารังแกตัวเขาเอง โดยยิ่งไปกว่านั้นในโมโตจีพีฤดู 2015 ซึ่งมีถึง 6 สนามที่มาร์เกซไม่อาจจะพาตนเองเข้าเส้นชัยได้ ทำให้ในช่วงฤดูกาลนั้นเขาจบที่ชั้น 3 ตามหลัง ฆอร์เก โลเรนโซ นักบิดรุ่นพี่ แชมป์โลกในปีนั้นเกือบจะ 100 คะแนน
ต่อจากนั้น มาร์ก มาร์เกซก็เพียรพยายามเปลี่ยนแปลงข้อตำหนิดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ไม่ใช่ว่าจะลดความดุเดือดลง เขายังดุเดือดดังเดิม ยังไม่กลัวที่จะแซงผู้ใดกันแน่ในพื้นอันตราย ยังมีการเทโค้งที่ศอกรวมทั้งหัวเข่าเลียดไปกับพื้นอันเป็นเอกลักษณ์อย่างเดิม เพียงแค่เพิ่มความละเอียดรอบคอบเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันได้ผลแจ่มชัด เพราะว่าตั้งแต่ฤดู 2016 เป็นต้นมาแชมป์โลกก็ไม่เคยหลุดมือ รวมทั้งไม่เคยมีฤดูไหนที่เขาแข่งขันไม่จบมากยิ่งกว่า 3 สนามอีกเลย
อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่นำพาให้ มาร์ก มาร์เกซ เปลี่ยนเป็นยอดนักบิดดังเช่นว่าปัจจุบันนี้ เป็นปฏิกิริยาการโต้ตอบอันเร็ว อย่างที่พวกเราได้เล่าสถานะการณ์ใน บาเลนเซีย กรังด์ปรีซ์ ปี 2017 ไป ตอนนั้นเป็นภาพแบบอย่างที่กระจ่างแจ้ง ไม่แน่ว่าถ้าหากเป็นคนอื่นๆบางทีอาจจะหลุดโค้งออกไปจนถึงกำเนิดเป็นอุบัติเหตุรวมทั้งจำเป็นต้องออกมาจากการแข่งขันชิงชัยไปแล้ว แม้กระนั้นมาร์เกซสามารถปรับปรุงเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้อย่างทันตามเวลา
ด้วยสไตล์การขี่ของเขา ทำให้มาร์เกซกลายยอดเยี่ยมในนักบิดที่มีช็อตให้กองเชียร์ชอบใจหายใจคว่ำหลายครั้งที่สุด แม้กระนั้นส่วนมากเขาก็สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ตลอด
"ความรู้สึกทั้งหมดทุกอย่างเป็นไปอย่างธรรมชาติ ผู้คนชอบถามผมถึงกรรมวิธีต่างๆแม้กระนั้นทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ผมก็แค่ทำมันออกไป" มาร์เกซอธิบาย
"การเซฟรถยนต์ที่ทำลายทุกกำแพงฟิสิกส์" เป็นสิ่งที่แฟนกีฬาความเร็วสองล้อมักจะกล่าวถึง มาร์ก มาร์เกซ อยู่เป็นประจำ เพราะว่าไม่ว่าจะแบนด้วยองศามากมายแค่ไหน หรือเข้าโค้งด้วยความเร็วเท่าไร อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการรถยนต์สลัดให้มองเห็นบ้าง แม้กระนั้นสิ่งที่พวกเราชอบได้มองเห็นประจำเป็น เขาสามารถควบคุมรถยนต์ให้กลับมาแข่งต่อได้ ราวกับไม่เคยกำเนิดจังหวะหวาดเสียวก่อนหน้าเลย ซึ่งมาร์เกซเคยตอบปัญหาถึงช็อตอัศจรรย์บนสนามที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนไว้ว่า
"ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมักถามหัวข้อนี้กับผมแม้กระทั้งกลุ่มของผมเอง คุณทำเป็นอย่างไร? ผมสูญเสียการบังคับที่ล้อหน้า สิ่งที่ผมทำเป็นกดศอกให้ลดน้อยลง แล้วก็ขึ้นกับเหตุการณ์ บางคราวผมก็เปิดคันเร่งขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็ว บางเวลาผมก็ปิดคันเร่งเพื่อทำสลับกัน มันเกิดเรื่องที่ยากจะชี้แจงให้รู้เรื่อง"
"นอกจากนี้มันก็ขึ้นกับยางที่ผมใช้ด้วย ถ้าหากผมใช้หน้ายางแข็ง รวมทั้งเสียการควบคุมที่ล้อหน้า แน่ๆว่าผมจะต้องเสียหลัก แต่ว่าหากผมใช้หน้ายางอ่อน แม้กระทั่งจะเสียการควบคุมที่ล้อหน้าผมก็ยังสามารถประคับประคองรถยนต์ไว้ได้" (เพราะว่ายางที่อ่อนกว่า จะมีการยึดเกาะถนนหนทางดียิ่งกว่ายางที่แข็งกว่านั่นเอง)
มาร์ก มาร์เกซ ความหวาดกลัวน้อยกว่าผู้ใดกัน
ผู้ใดเป็นนักแข่งขันโมโตจีพีที่บรรลุเป้าหมายที่สุดในปัจจุบัน? คำตอบย่อมควรมี มาร์ก มาร์เกซ ยอดเยี่ยมในนั้น กับการเป็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก 8 ยุครวมทุกรุ่น (125 ซีซี 1 ยุค, โมโตทู 1 ยุค, โมโตจีพี 6 ยุค) แม้ส่ายตาดูทั่วกริด ก็เห็นจะมีเพียงแค่ วาเลนว่ากล่าวโน่ รอคอยสซี่ ไอดอลที่เปลี่ยนมาเป็นศัตรูบนสนามของเขาเพียงแค่นั้นที่เหนือกว่า กับการเป็นแชมป์โลก 9 ยุค
แล้วคนใดเป็นนักแข่งขันโมโตจีพีในช่วงปัจจุบันที่เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งที่สุด? คำตอบก็ยังเป็น มาร์ก มาร์เกซเนื่องจากในปี 2017 กับ 2018 "เด็กระเบิด" เป็นผู้ครอบครองสถิติที่พาตนเองลงไประเบิดก้อนกรวดสูงที่สุดในโมโตจีพีตลอดฤดูที่ 27 และก็ 23 ครั้ง เป็นลำดับ แม้กระนั้น เขาก็ยังเป็นแชมป์โลก
มีภาษิตหนึ่งที่อยู่คู่กับแวดวงโมโตจีพีมายาวนาน "การที่จะสอนนักบิดความเร็วสูงให้หยุดการเกิดอุบัติเหตุนั้นง่ายยิ่งกว่าที่จะสอนให้นักบิดที่ขี่ช้าให้ขี่เร็วขึ้น" แม้กระนั้นสำหรับมาร์เกซดูราวกับภาษิตบทนี้จะไม่สำคัญ เพราะว่าการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งของเขาเป็นการเล่าเรียนลิมิตตนเอง แล้วก็จำนวนมากมันก็เกิดขึ้นสำหรับการฝึก ซึ่งบทเรียนที่เขาได้รับจากการบกพร่องนั้นมีคุณประโยชน์ต่อตัวเขาเป็นอย่างมากสำหรับการแข่งขันสนามจริง เพราะเหตุว่ามาร์เกซทำความเข้าใจความเป็นจริงข้อนี้มาตั้งแต่เขายังเด็ก
"ผมเริ่มขี่รถยนต์เดิร์ทแทร็คและก็โมโตครอสตั้งแต่ผมอายุห้าปี ซึ่งประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการขี่รถยนต์ชนิดนี้ มันสอนให้ผมทราบว่าการล้มไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เนื่องจากด้วยภาวะสนามคุณอาจจะล้มสามสี่ครั้งในรอบเดียว แต่ว่าโน่นทำให้ท่านทราบข้อจำกัดของตนเอง หลังจากนั้นก็แค่ถือรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาขี่ถัดไป"
มาร์เกซรู้ดีว่าตนเองสามารถเสี่ยงได้เพียงใด รู้ดีว่ารถยนต์ของเขารองรับการขับขี่ที่เสี่ยงภัยได้มากแค่ไหน รวมทั้งสิ่งนี้เองทำให้เขาเหนือกว่านักบิดผู้อื่น
นอกเหนือจากการไม่มีซึ่งความหวาดกลัวในสนามแล้ว จิตใจในหัวข้อการรองรับแรงกดดันของมาร์เกซก็แกร่งไม่แพ้กัน ภายหลังจากประสบผลสำเร็จสำหรับการชิงชัยรุ่นโมโตทูปี 2012 ปีถัดมามาร์เกซก็ขยับขึ้นสู่การประลองจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในรุ่นโมโตจีพี แถมยังเป็นการขี่ให้กับกลุ่ม Repsol Honda กลุ่มโรงงานของ Honda อีกด้วย
มันเป็นการก้าวกระกระโดดในอาชีพ เขาทราบว่ามีเสือราชสีห์วัวกระทิงแรดมากมายก่ายกองรอคอยที่จะจัดแจงเขาสำหรับการแข่งรุ่นนี้ แม้กระนั้นมาร์เกซก็ไม่หวั่นหวาดเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ในปี 2013 เขาก็แสดงจิตใจที่กล้าแกร่งดุจเพชรออกมาให้ปรากฏชัดเจนผ่านทางผลงาน ด้วยการเปลี่ยนเป็นนักแข่งขันอายุต่ำที่สุดซึ่งสามารถคว้าชัยชนะโมโตจีพีได้ด้วยอายุเพียงแต่ 20 ปี 266 วัน
ถึงจะเกิดเรื่องรากฐานที่ทุกคนคงจะทราบกันอยู่แล้วอยู่แล้ว แม้กระนั้นก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าความเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่จะพานักบิดไปสู่ความมีชัยสำหรับการแข่งโมโตจีพี สังเวียนนี้ไม่ราวกับนิทานกระต่ายกับเต่า ตรงกันข้ามผู้ที่เป็นกระต่ายนั่นแหละที่เป็นผู้ที่จะเป็นผู้ชนะ
สถิติไม่เคยโป้ปดมดเท็จผู้ใดกันแน่ และก็มันก็บ่งบอกถึงโดยตลอดว่านักบิดที่ทำความเร็วต่อรอบเฉลี่ยก้าวหน้าที่สุดจะอยู่ข้างบนของตารางคะแนนเมื่อจบฤดู
นักแข่งขันโมโตจีพีที่มีอัตราการชนะสูงสุดชั่วนิจนิรันดร์เป็นมาร์ก มาร์เกซตามมาด้วย มิค มองฮาน และก็ เคนนี่ โรเบิร์ตส์ ซีเนียร์ ส่วนนักแข่งขันโมโตจีพีที่มีสถิติความเร็วต่อรอบเยี่ยมที่สุดเป็น มาร์เกซ ตามมาด้วย มิค มองฮาน และก็ เคนนี่ โรเบิร์ตส์ ซีเนียร์ ด้วยเหมือนกัน การแข่งขันโมโตจีพีก็ไม่ยากเพียงเท่านี้ล่ะ คนใดกันแน่เร็วที่สุด คนซึ่งก็คือผู้ชนะ
เว้นแต่ความถนัดการควบคุมรถยนต์ที่จำเป็นต้องเยี่ยมแล้ว สภาพร่างกายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กันที่ช่วยส่งให้ มาร์ก มาร์เกซ แปลงเป็นยอดเยี่ยมนักบิดที่สมัย
มาร์เกซมีโปรแกรมการฝึกฝนที่นานัปการแล้วก็สลับซับซ้อนซึ่งได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับร่างกายของเขา โดยหลักจะเน้นย้ำไปที่การเสริมสร้างความแข็งแรงรวมทั้งความยืดหยุ่นของร่างกายเพื่อเขาสามารถควบคุมรถมอเตอร์ไซค์ขนาด 1000 ซีซี 260 แรงม้า น้ำหนัก 160 โล ในความเร็วที่มากกว่า 350 กม.ต่อชั่วโมง พร้อมทั้งแรงจี 1.4
และไม่ใช่เพียงแค่ความแข็งแกร่งของร่างกายแค่นั้น ความแข็งแกร่งของจิตใจก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ การแข่งรถตรงเวลา 45 นาทีด้วยความเร็วสูง ภายใต้อากาศร้อนอบอ้าว หรือบางคราวก็ปรวนแปรจนถึงไม่บางทีอาจเดา มันเป็นเหตุการณ์ที่ความเป็นความตายอยู่ห่างกันใกล้แค่เอื้อม จิตใจจะต้องเข้มแข็งเพื่อปราบมันให้ได้
มาร์เกซสร้างเสริมความแข็งแกร่งจิตใจของเขาโดยการเน้นไปที่การฝึกให้มีสมาธี ผสมกับแนวทางการสร้างภาพเปรียบเสมือนจริง การควบคุมโภชาการ สิ่งพวกนี้ช่วยทำให้จิตใจของเขาแกร่งขึ้น และไม่พลาดในตอนเสี้ยววินาทีสำคัญ
สมัคร TS911 วันนี้รับเครดิตฟรีสูงสุด 1,500 บาท ฝาก-ถอน ไม่จำกัด ตลอด 24 ชั่วโมง
แหลงข้อมูล