มาซายูกิ โอคาโนะ : ROOKIES เวอร์ชั่นฟุตบอล
มาซายูกิ โอคาโนะ ปีกในตำนานของ อุราวะ เรดส์ กลายเป็นที่จดจำในฐานะ “ฮีโร่ของชาติ”
เส้นทางสู่การเป็นฮีโร่ของ มาซายูกิ โอคาโนะ นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในสมัยมัธยมปลาย เขาต้องสร้างชมรมฟุตบอลที่เคยเป็นศูนย์รวมเด็กเกเร ไร้ระเบียบวินัย จนกลายเป็นหนึ่งในทีมสุดแกร่งของจังหวัด และเกือบจะผ่านเข้าไปเล่นไปเล่นในศึกชิงแชมป์ระดับชาติได้อย่างเหลือเชื่อ
ย้อนกลับไปในตอนสมัย 70’s - 80’s บอลบางครั้งอาจจะยังไม่ได้รับความนิยมพอๆกับเบสบอล กีฬาอันดับแรกๆของประเทศญี่ปุ่น แม้กระนั้นโอติดอยู่โนะ ก็ตกลงใจเลือกเล่นกีฬาประเภทนี้ เขาเริ่มเล่นบอลตอนอยู่ชั้นประถม 1 ก่อนที่จะมาเล่นอย่างเอาจริงเอาจังตอนประถม 3 แล้วก็ตั้งมั่นว่าจะเข้าชุมนุมบอลตอนขึ้นม. ต้น
อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น โอค้างโนะ สุดที่รักสนุกสนานดูเหมือนจะพอใจอันอื่นมากยิ่งกว่า ชีวิตใน ม.ต้น ของเขาหมดไปกับการเล่นเกม และก็เที่ยวเล่น ส่วนบอล แม้ว่าจะยังเล่นอยู่ แม้กระนั้นก็เล่นไปแบบเอาสนุกสนาน มิได้ฝึกอย่างเข้มงวด จนกระทั่งเรียกมิได้เต็มปากว่าพอใจกีฬาประเภทนี้
3 ปีผ่านไปอย่างเร็ว ตามธรรมดาแล้วผู้เรียนประเทศญี่ปุ่น เมื่อจบชั้นม. ต้นก็ควรต้องสอบเข้าสถานศึกษาใหม่ ซึ่งมันก็สร้างความยากแค้นให้โอค้างโนะ ด้วยเหตุว่าเขามิได้เป็นผู้ที่ส่งผลการศึกษาที่ดี แถมกีฬาก็มิได้กล้า ที่จะช่วยทำให้สอบติดสถานศึกษาดังๆได้
“ผมโตที่โยโกฮามา ตอนเด็กๆผมได้เรียนอะไรหลายประเภท แต่ว่าก็มิได้ทำต่อเลย อย่างเดียวที่ผมยังทำอยู่เป็นบอล เกรดของผมตอน ม.ต้นก็มิได้ดีโด่ แถมยังเกลียดชังเรียนอีก” โอติดอยู่โนะ กล่าวกับ Nikkei
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เขาคิดแผนที่จะไปเล่นบอลที่บราซิล ด้วยเหตุว่าในยุคนั้นประเทศญี่ปุ่นยังไม่มีเจลีก พวกเขามีเพียงแค่ลีกครึ่งหนึ่งสมัครเล่นที่เป็นกลุ่มของบริษัทเตะกันแค่นั้น ทำให้บราซิล แปลงเป็นหมุดหมายสำหรับนักเตะประเทศญี่ปุ่น รวมถึง ติดอยู่สุโยชิ ไม่อุระ ที่ย้ายไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ปี 1982 จนได้เซ็นสัญญากับกลุ่มดังอย่าง ซานโตส แล้วก็ พัลไมรัส
แต่ว่าแผนของเขาจะต้องล้มครืนอย่างหมดท่า เมื่อคุณพ่อคุณแม่ปฏิเสธอย่างหัวชนกำแพง ในช่วงเวลาที่เขากำลังกังวลใจว่าจะเอาอย่างไรต่อดีกับชีวิต เสียงสรวงสวรรค์จากอาก็บอกเขาว่า ถ้าหากต้องการเล่นบอลให้ไปเรียนที่จังหวัดชิมาเนะสิ ตรงนั้นมีสถานที่เรียนที่เน้นย้ำเรื่องบอล รวมทั้งมีห้องพักให้เด็กนักเรียนด้วย
“เพียงพอจบ ม.ต้นก็ฝันว่าจะไปเรียนสถานที่เรียนสอนบอลที่บราซิล แม้กระนั้นครอบครัวไม่เห็นพ้อง ตอนท้าย อาก็ชี้แนะสถานศึกษาที่แม้กระทั้งคนอย่างผมก็เข้าได้ ก็เลยไปเรียนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมัตสึเอะนิฮง ที่เมืองมัตสึเอะ จังหวัดชิมาเนะ (ตอนนี้ชื่อสถานที่เรียนโชนัน ที่มหาวิทยาลัยริสโช)” โอค้างโนะกล่าวต่อ
“ในเวลานั้นมีความรู้สึกว่า หากเทียบกับเมืองใหญ่ๆจังหวัดชิมาเนะคู่ปรปักษ์คงจะมีน้อชูว่า คงจะได้ไปแข่งขันทั่วทั้งประเทศไม่ยาก แน่ๆว่ามีความขมักเขม้นที่จะเข้าชมรมบอลด้วย”
รวมทั้งโน่นก็ทำให้ โอค้างโนะ จะต้องจากบ้านเป็นครั้งแรก เขาจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในห้องพักของสถานที่เรียนที่จังหวัดชิมาเนะ ที่อยู่เกือบตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น และก็ห่างจากโยโกฮามากว่า 800 กม.
แม้ว่าจะมิได้ไปบราซิล แม้กระนั้นการได้เข้าห้องเรียนในสถานศึกษาที่เน้นย้ำบอล ก็จัดว่าไม่เลวสำหรับโอค้างโนะ แม้ว่าจะไกลบ้านอยู่บ้าง เพราะเหตุว่าจะต้องใช้เวลาเกือบจะ 10 กว่าชั่วโมงโดยรถยนต์ หรือ 12 ชั่วโมงโดยรถไฟ (จังหวัดชิมาเนะไม่มีรถไฟฟ้าความเร็วสูง เคยชินคันเซ็น ผ่าน) แม้กระนั้นการได้ออกมาดำเนินชีวิตอิสระจากบิดามารดาในตอนวัยรุ่น ก็ถือเป็นการแลกที่ไม่ห่วยแตก
แม้กระนั้นเมื่อเขาเหยียบตรงนี้ เขาก็ต้องการจะหันหลังกลับโดยทันที เมื่อที่จริงจริงโรงเรียนสาธิต มัธยมมัตสึเอะนิฮงในขณะนั้น เป็นโรงเรียนสำหรับดัดนิสัย ที่ผู้เรียนอันธพาลจากทั้งประเทศมาอยู่ร่วมกัน
ที่สถานศึกษาเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนที่แต่งตัวแบบแยงกี้ (อันธพาลประเทศญี่ปุ่น) ที่มักใส่เสื้อตัวใหญ่ กางเกงทรงกระบอก แล้วก็ทรงผมสุดแนว หรือย้อมสีผมทองคำ ที่ราวหลุดออกมาจากการ์ตูน เรียกเขาว่ากา (Crow) หรือจอมเกบลูส์ (Blues)
อย่างไรก็แล้วแต่ เนื่องจากว่าเป็นโรงเรียนสำหรับดัดนิสัย ทำให้สถานศึกษามีระเบียบที่เคร่ง หอพักในมีเวลาเปิด-ปิด และก็มีกริ่งแจ้งเตือนตอน 6 นาฬิกาเย็น แต่ว่ายังคงมีคนบากบั่นแหกกฎอยู่ตลอด ว่ากันว่า ชอบมีเด็กแทบ 100 คนอุตสาหะกระโดดหอมาจากชั้น 2 เสมอๆทุกปี แต่ว่าก็ถูกจับได้เกือบทุกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ที่สถานศึกษาที่นี้ยังมีระบบระเบียบรุ่นพี่-รุ่นน้องที่เข้มงวด รุ่นพี่เปรียบได้ดั่งพระผู้เป็นเจ้าที่รุ่นน้องจำต้องทำตามอย่างคำบัญชา แล้วก็นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง จะต้องกล่าวทักรุ่นพี่และก็อาจารย์ครั้งใดก็ตามเจอหน้า ซึ่งบางครั้งบางคราวเวลาไปห้องอาบน้ำ บางทีอาจจำเป็นต้องกล่าวคำพูดทักทายจนกระทั่งหมดเวลาพัก
หรือทุกๆวันตอนตี 4 รุ่นน้องจำเป็นที่จะต้องตื่นมาชำระล้างหอ โดยมีรุ่นพี่รอควบคุม และก็แกล้งควงโซ่เดินไปๆมาๆพร้อมด้วยกล่าวว่า “เกือบจะโดนแล้วๆ” แต่ว่าในที่สุดก็โดนรุ่นน้องเกือบทุกครั้ง
โรงเรียนดัดสันดานของ มาซายูกิ โอคาโนะ
“สถานศึกษาที่ผมจบมาในช่วงเวลานั้น กฎของสถานที่เรียนครัดเคร่งมากมาย เป็นโรงเรียนประจำที่มีเวลาปิดประตูช่วงเวลาเย็น ว่ากันว่าเป็นต้นแบบของสถานศึกษาลูกผู้ชายในมังงะ ที่มีการสอนสุดชั่วร้าย เป็นศูนย์รวมของพวกวัยรุ่นเกกมะเหรกเกเรจากทั่วราชอาณาจักร” โอค้างโนะ ย้อนเรื่องในอดีตกับ Nikkei
แต่ว่าเรื่องจริงที่ทำให้เขาช็อคที่สุดเป็น สถานที่เรียนที่นี้ไม่มีชุมนุมบอล เขาผิดหวังรวมทั้งเศร้าใจมากมาย เขาร้องไห้ทุกเมื่อเชื่อวัน และก็ต้องการหนีออกมาจากสถานศึกษา ในใจวนเวียนกับคำว่า “ตูมาตรงนี้เพราะอะไร?”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ โอติดอยู่โนะ กำลังหดหู่กับชีวิตที่บัดซบที่สถานศึกษาที่นี้ เขาก็ได้บังเอิญพบรุ่นพี่คนหนึ่ง ใส่ชุดแข่งขันเตะบอลอัดกำแพงอยู่ตามลำพังคนเดียวตรงข้างหลังสนามสถานศึกษา รุ่นพี่คนนั้นชื่อว่า “โทงะ”
ภายหลังจากได้คุยกับรุ่นพี่โทงะก็รู้ว่า เขาไม่ใช่ผู้เดียวที่โดนหลอก เนื่องจากว่ารุ่นพี่ก็เข้ามาสถานที่เรียนนี้เนื่องจากว่ารู้สึกว่ามีชุมนุมบอลแบบเดียวกัน เขาพบกับผู้ที่มีโชคชะตาเดียวกันกับเขาแล้ว
“พอเพียงเข้าไปเรียน ก็รู้ว่าตรงนี้ไม่มีสโมสรบอล ยิ่งสะดุ้งเมื่อทราบว่ามีรุ่นพี่ที่เข้ามาสถานที่เรียนนี้ด้วยเหตุว่ามีความรู้สึกว่ามีบอลเช่นเดียวกัน ผมมองเห็นเขาเตะบอลกับกำแพงอยู่เพียงลำพังข้างหลังสนามสถานที่เรียน เวลานี้มีความคิดว่าจะลาออกกลับโยโกฮามาเดี๋ยวนั้นเลย” โอค้างโนะ เปิดเผยความรู้สึก
“แม้กระนั้นบอลเป็นอย่างเดียวที่ผมเล่นโดยตลอด ก็เลยไม่ต้องการที่จะอยากเลิก และไม่ถูกใจการหนี เหนือสิ่งอื่นใด ผมได้รับแรงใจจากบิดามารดาว่า ‘ให้เล่นบอลที่ถนัดถัดไป’ ต่อจากนั้นก็เลยบอกกับรุ่นพี่ว่า ‘พวกเรามาตั้งสมาคมบอลกันเหอะ’ และก็ได้ไปทดลองต่อรองกับอาจารย์ใหญ่ ความจำนงอันแรงกล้าของเราทำให้อาจารย์ใหญ่อนุญาต”
ธรรมดาแล้วที่สถานที่เรียน จะแบ่งเป็น 3 ห้อง ห้อง 1 เป็นคนเรียนเก่ง ห้อง 2 เป็นพวกโควต้า นักกีฬา ส่วนห้อง 3 เป็นพวกผู้เรียนอันธพาล รวมทั้งผู้ที่พอใจเข้าชมรมบอลของโอค้างโนะ ก็คือผู้เรียนจากห้อง 3 ทำให้สมาคมของพวกเขา ก็เลยเปลี่ยนเป็นศูนย์รวมต้นตอที่ก่อให้เกิดปัญหาไปโดยปริยาย
“เพียงพอเปิดรับสมัครคน ก็มีคนมาสมัครแทบ 20 คน แม้กระนั้นไม่มีผู้ใดมีพื้นฐานเลย ผู้ที่ต้องการเล่นบอลก็มีแค่นิดเดียว ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ กฎล้ำหน้ายังไม่ทราบเลย” สมัยก่อนปีก อุราวะ เรดส์ เล่าด้วยความขมขื่น
ที่แท้ผู้ที่สมัครเข้ามา เกือบจะมิได้พอใจกีฬาจำพวกนี้เลย พวกเขาพอใจแต่ว่าเรื่องต่อยตีเพียงแค่นั้น การเข้าชมรม ก็เพียงแต่เนื่องจากว่าสามารถอยู่นอกหอข้างหลัง 6 นาฬิกาได้ โดยใช้กิจกรรมสัมพันธ์เป็นข้อแก้ตัวแค่นั้น
“สมาชิกในชุมนุมบอล มีแม้กระนั้นพวกเด็กนักเรียนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย เป็น ‘โทได (มหาวิทยาลัยเมืองโตเกียว) ที่การต่อยตี’ เหตุผลสำหรับการเข้าชมรมก็เพื่อจะได้อยู่นอกห้องเช่าอีกซักหน่อยเพียงเท่านั้น”
นอกเหนือจากนั้น หากว่าสัมพันธ์จะมีคุณครูที่ปรึกษา แต่ว่าคุณครูคนที่ใครๆก็รู้จักกล่าว ก็มิได้มีความสามารถเรื่องบอลเลยแม้กระทั้งนิดหนึ่ง เนื่องจากว่าธรรมดาสถานที่เรียนประเทศญี่ปุ่น คุณครูที่มาปฏิบัติภารกิจนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องรู้จักกีฬาประเภทนั้นก็ได้ มีเพียงแค่ช่วยเลี้ยงดูผู้เรียนแค่นั้น ทำให้โอติดอยู่โนะ จำต้องเล่นบทอีกทั้งผู้เล่น ผู้ฝึกสอน กุนซือ เรียกว่าภาระหน้าที่จำเป็นต้องตกมาอยู่ที่เขาผู้เดียวทั้งปวง
แม้กระนั้นท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถเก็บรวบรวมสมาชิกที่เพียงพอจะมีแวว โดยการเอาคุณลักษณะเด่นของแต่ละคนมาใช้มีประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่นรุ่นพี่ไอซัง (นามสมมุติ) เป็นแชมป์เทควันโด รวมทั้งต่อยตีเก่งที่สุดในสถานที่เรียน ก็เอามาเล่นกองหน้าเพราะว่าเตะเก่ง หรือซีปะทุง (นามสมมุติ) ที่อ่านเกมเก่ง ก็เอามาเล่นมิดฟิลด์
เหมือนกันกับ รุ่นพี่เอชซัง ที่ร่างกายบึกบึนและก็เต็มไปด้วยกล้าม แถมยังมีสายตาเคียดแค้นที่น่าสยดสยอง ก็ให้เล่นกองหลังไว้ข่มขวัญคู่แข่งขัน หรือ เอ็มระอุง ที่แกล้วกล้าในกีฬาดอจบอล แต่ว่าใช้เท้ามิได้เลย ก็ให้ไปเป็นผู้เฝ้าประตูรอรับบอลแทน
“แม้ว่าจะมีแม้กระนั้นผู้ที่ไม่เคยเล่นบอล แม้กระนั้นพวกที่ต่อยตีเก่งๆนั้นมากไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งทำให้พวกเขามีพรสวรรค์เรื่องกีฬา พวกเขามีกำลังรวมทั้งปรับปรุงความรู้ความเข้าใจได้เร็ว”
พอเพียงกลุ่มเริ่มเป็นตัวเป็นตน โอค้างโนะ ก็มานะหาเกมฝึกซ้อมเพื่อทดลองกลุ่ม เขาไล่โทรขอแข่งขันฝึกซ้อมกับสถานศึกษาอื่นล้นหลาม แต่ว่าด้วยความโด่งดังในด้านไม่ดีของสถานศึกษา ทำให้จำต้องพบเพียงแค่คำกล่าวปฏิเสธ
นอกเหนือจากนั้น นักกีฬาของพวกเขาไม่มีผู้ใดใส่ชุดแข่งขันเลยแม้กระทั้งผู้เดียว ทุกคนมาในเสื้อผ้าสำหรับนักเรียน แถมสตั๊ดของพวกเขายังดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขเป็นพิเศษ โดยมีปุ่มสตั๊ดที่แหลมรวมทั้งยื่นยาวออกมากว่าธรรมดา แม้กระนั้นท้ายที่สุดก็ได้รับการรับรองว่านี่เป็นคู่ปรปักษ์ที่พวกเขาจะต้องพบ
ก่อนเกมบรรยากาศออกจะเคร่งเคลียด และก็มีนักเรียนของสถานศึกษาเจ้าถิ่นมามุงมองการประลองอยู่รอบสนาม แล้วก็ข้างหลังเขี่ยลูกเริ่มเกมไปได้ไม่ถึงนาที ขณะที่ โอค้างโนะ กำลังจะจับบอล หัวเข่าของรุ่นพี่ ก็เสยคางคู่แข่งขันไปเป็นที่เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วความยุ่งเหยิงก็เกิดขึ้น
“พวกเขามีพรสวรรค์ แม้กระนั้นโชคร้ายพวกเขาโมโหง่าย พวกเขาวิ่งเข้าใส่กลุ่มคู่ปรปักษ์จนกระทั่งอลหม่านเมื่อเริ่มเกม ยอมทิ้งการแข่งขันชิงชัย หรือดุคู่ปรปักษ์ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ”
TSOK เว็บพนันกีฬาที่ดีที่สุดในปี 2019-2020 สมัครวันนี้รับฟรีเครดิตสูงสุด 1,500 บาท